Today’s NEWS FEED

News Feed

Krungthai Compass วิเคราะห์ โอกาสผู้ประกอบการไทยในเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว

111

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 24 กันยายน 2568)-------Krungthai Compass วิเคราะห์ โอกาสผู้ประกอบการไทยในเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว

ลาวถือเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาเข้าไปลงทุนลงทุนการผลิตสินค้าและให้บริการเพื่อรองรับตลาดลาว ไทย และประเทศอื่นๆ ได้ จากพื้นฐานด้านวัตถุดิบเกษตร เช่น ยางพารา กาแฟ มันสำปะหลัง ที่มีราคาค่อนข้างต่ำกว่าวัตถุดิบเกษตรไทย ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทองแดง ทองคำ ป่าไม้ ที่ยังมีอยู่มาก ประกอบกับพลังงานไฟฟ้าจากน้ำที่มีต้นทุนการผลิตค่อนข้างต่ำและมีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มมีผู้ประกอบการต่างชาติและไทยเข้าไปลงทุนในลาวโดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลลาวจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้างแล้ว ซึ่งในระยะข้างหน้า การพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2564 จะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และยกระดับศักยภาพด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของลาวให้เติบโตขึ้น
บทความนี้จึงอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว วิเคราะห์ศักยภาพอุตสาหกรรมที่เหมาะสมในการลงทุนของผู้ประกอบการไทย ขั้นตอนในการลงทุน ตลอดจนความท้าทาย ที่ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณา

การลงทุนในลาวในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
การลงทุนในลาวขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งมีสัดส่วนเฉลี่ยราว 11% ของ GDP ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2562–2566) และ คิดเป็น 48% ของการสร้างทุนถาวรขั้นต้นของภาคเอกชนในปี 2560 (World Bank) อดีตที่ผ่านมา FDI เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงปี 2555 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones: SEZ) ที่รัฐบาลลาวจัดทำเมื่อปี 2554
โดยการลงทุนสะสมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553-2564) กว่า 90% กระจายเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงาน เหมืองแร่ เกษตรกรรมเพาะปลูกและแปรรูป ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักจากการส่งออกของลาว รวมถึงอุตสาหกรรมบริการ เช่น ขนส่งและโลจิสติกส์ ที่ช่วยสนับสนุนกิจกรรมนำเข้าส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ การเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมต่างๆ และสร้างความแข็งแรงของเศรษฐกิจลาวในระยะยาว

ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศในลาว
การลงทุนจากต่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาวได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการลงทุน ได้แก่ 1) ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ โดยลาวตั้งอยู่ ใจกลางภูมิภาค CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และเชื่อมต่อกับจีนผ่านทางรถไฟลาว-จีน ทำให้เอื้อต่อการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาค 2) ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เช่น พลังงานน้ำ แร่ธาตุ และพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งส่งเสริมการลงทุนในพลังงาน เหมืองแร่ และอุตสาหกรรมเกษตร 3) แรงงานต้นทุนต่ำ และมีนโยบายพัฒนาทักษะแรงงานผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ 4) นโยบายเปิดกว้างต่อการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านภาษี การถือครองกิจการ และสิทธิในทรัพย์สินทางธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 5) การเชื่อมโยงทางการค้าผ่านการเป็นสมาชิกอาเซียน RCEP และ WTO ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดภูมิภาคขนาดใหญ่ด้วยต้นทุนภาษีที่ต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ลาวกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่มีศักยภาพด้านการลงทุนในระดับภูมิภาค

ในส่วนถัดไปจะเป็นการวิเคราะห์ศักยภาพของเขตเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง รวมถึงโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ลาวได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศผ่านการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ซึ่งมีจำนวน 12 แห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วประเทศลาว โดยมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรม 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1)การผลิต 2)การท่องเที่ยว และ 3)การค้าและโลจิสติกส์ ซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่บริเวณชายแดนของประเทศ เช่น ภาคการค้าและโลจิสติกส์ตั้งอยู่ตรงชายแดนติดไทย จีน และเวียดนาม เพื่อใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางการค้าและเครือข่ายขนส่งระหว่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตตามแนวชายแดน ภาคท่องเที่ยวในพื้นที่ศักยภาพสูง ยกเว้นเพียงบางแห่ง เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษหลวงพระบาง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของประเทศ ซึ่งจากการวิเคราะห์ SEZ ทั้ง 12 แห่ง สามารถสรุปศักยภาพของพื้นที่ตามอุตสาหกรรม 3 ประเภทหลักที่มุ่งเน้นพัฒนาได้ดังนี้

 

1. การลงทุนด้านอุตสาหกรรมการผลิต
เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน และไชยเชษฐา เป็น 2 พื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุนไทย โดยเป็นการประเมินศักยภาพเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาคอุตสาหกรรมของลาวจาก 5 ปัจจัย ได้แก่ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ความพร้อมด้านวัตถุดิบ ระบบโลจิสติกส์ และจำนวนบริษัทที่เข้าไปลงทุน
เขตสะหวัน-เซโน ตั้งอยู่ใกล้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 ที่ จ.มุกดาหาร ที่เน้นอุตสาหกรรมในด้านการผลิตเพื่อส่งออก โดยปัจจุบันมีนักลงทุนจากหลายอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุนในพื้นที่แล้ว เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เลนส์สายตา ยางพารา ขณะที่เขตไชยเชษฐา ตั้งอยู่ใกล้ จ.หนองคาย เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเบา เช่น เครื่องจักรกล พลังงาน และสิ่งทอ โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น เส้นใยธรรมชาติ
ซึ่งทั้งสองเขตเศรษฐกิจพิเศษตั้งอยู่บริเวณใกล้กับชายแดนไทยจึงสะดวกต่อการขนส่งระหว่างประเทศ และมีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีใกล้เคียงกับไทย เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้า-ส่งออก ภาษีรายได้บุคคลต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน

เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน และเขตไชยเชษฐา ถือเป็น 2 พื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการรองรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งประเมินว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปมีบทบาทในกลุ่ม “ธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม” (Industrial supporting services) โดยมีลักษณะของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งโรงงาน การผลิตเพื่อส่งออก และความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเมินว่าธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการดำเนินงานภาคอุตสาหกรรม เช่น การซ่อมบำรุงเครื่องจักร บริการโลจิสติกส์ในระดับโรงงาน และการฝึกอบรมแรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้าน
2. ธุรกิจสนับสนุนคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมการทำงานของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม เช่นการพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับแรงงาน อาคารพาณิชย์ และพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการตั้งถิ่นฐานและการดำเนินธุรกิจของโรงงาน


3. ธุรกิจเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อการบริหารจัดการภาคการผลิต เช่น ระบบ ERP ระบบควบคุมการผลิต และบริการ Call Center ภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีบทบาทในการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและการสื่อสารในระดับนานาชาติ
4. นอกจากนี้ การที่บริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Nikon, Toyota และ Misuzu เข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งสอง และตอกย้ำโอกาสในการพัฒนาและขยายบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว

วิเคราะห์การลงทุนฉีดขึ้นรูปพลาสติกของผู้ประกอบการไทยในลาว
แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ถือเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญของลาว ซึ่งมีบริษัทที่ต้องใช้ชิ้นส่วนพลาสติก เช่น Nikon, Essilor และ Toyota เข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ซึ่งเอื้อต่ออุตสาหกรรมธุรกิจการฉีดขึ้นรูปพลาสติกที่สามารถเข้าไปสู่ห่วงโซ่อุปทานของของบริษัทที่ต้องใช้ชิ้นส่วนพลาสติกเหล่านี้ได้
การตั้งโรงงานการผลิตฉีดขึ้นรูปพลาสติกในลาว จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยมีทักษะการผลิตและมีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในปัจจุบัน ซึ่งจากการประเมิน พบว่า หากผู้ประกอบการไทยไปตั้งโรงงานฉีดขึ้นรูปพลาสติกในลาว จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ราว 11% ซึ่งเกิดจากการลดลงของต้นทุนการผลิตในหมวดแรงงานและพลังงาน ที่มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าในไทยราว 52% และ32% ตามลำดับ

2. การลงทุนด้านการท่องเที่ยว
เขตเศรษฐกิจพิเศษธาตุหลวงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุนไทย จากการประเมินศักยภาพเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาคการท่องเที่ยวของลาวจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ สิทธิประโยชน์ทางภาษี แนวทางการท่องเที่ยว ระบบโลจิสติกส์ และจำนวนบริษัทที่เข้าไปลงทุน
เขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ มีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน โดยตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางราชการ ย่านธุรกิจหลัก สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และสนามบินนานาชาติวัดไต ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในฐานะ “เมืองใหม่” ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายในพื้นที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและการบริการอย่างครบวงจร เช่น โรงแรมระดับห้าดาว ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน รวมถึงโครงการที่พักอาศัยคุณภาพสูง
อีกทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 ที่ จ.หนองคาย ซึ่งเชื่อมโยงการเดินทางและการค้าชายแดนกับไทยได้อย่างสะดวก ทำให้พื้นที่นี้มีความเหมาะสมต่อการลงทุนในด้านการท่องเที่ยว

เขตเศรษฐกิจพิเศษธาตุหลวง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงด้านการพัฒนาเมืองและการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม รีสอร์ต และค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นลักษณะของอุตสาหกรรมหลักที่ถูกกำหนดไว้ในแผนแม่บทของเขตเศรษฐกิจพิเศษธาตุหลวงที่มุ่งเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับหรู สนามกอล์ฟ โรงแรม ศูนย์การเงิน และบริการ และบทบาทของเวียงจันทน์ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและการบริหารของประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการสูงในด้านที่อยู่อาศัย การพักผ่อน และบริการเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางถึงสูง
จากข้อมูลของ กรมพัฒนาการท่องเที่ยวลาว พบว่า จากปี 2560 ถึงปี 25651 จำนวนห้องพักโรงแรมในเวียงจันทน์เพิ่มขึ้นทุกปีจาก 13,030 ห้อง เป็น 18,896 ห้อง หรือคิดเป็น 7.7%CAGR ซึ่งสะท้อนความต้องการด้านที่พักและบริการ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวระดับบนยังมีแนวโน้มสูง

 

 


จากปัจจัยข้างต้นประเมินว่าจะสามารถสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1) อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง เช่น การพัฒนาอาคารชุด บ้านจัดสรร หรืออาคารสำนักงานให้เช่า รวมถึงบริการ Co-Working Space
2) โรงแรมและรีสอร์ต เช่น โรงแรมระดับ 4–5 ดาว บูติก โฮเทล รวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และสถานบันเทิง
3) ค้าปลีกและร้านแฟรนไชส์ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และร้านแฟรนไชส์แบรนด์ไทยในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
แนวโน้มการขยายตัวของเมือง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความเชื่อมโยงกับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการรองรับธุรกิจบริการของไทยทั้งในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคในระยะยาว
1 อ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดปี 2565 จากกรมพัฒนาการท่องเที่ยวลาว

 

วิเคราะห์การลงทุนฉีดขึ้นรูปพลาสติกของผู้ประกอบการไทยในลาว
แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ถือเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญของลาว ซึ่งมีบริษัทที่ต้องใช้ชิ้นส่วนพลาสติก เช่น Nikon, Essilor และ Toyota เข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ซึ่งเอื้อต่ออุตสาหกรรมธุรกิจการฉีดขึ้นรูปพลาสติกที่สามารถเข้าไปสู่ห่วงโซ่อุปทานของของบริษัทที่ต้องใช้ชิ้นส่วนพลาสติกเหล่านี้ได้
การตั้งโรงงานการผลิตฉีดขึ้นรูปพลาสติกในลาว จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยมีทักษะการผลิตและมีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในปัจจุบัน ซึ่งจากการประเมิน พบว่า หากผู้ประกอบการไทยไปตั้งโรงงานฉีดขึ้นรูปพลาสติกในลาว จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ราว 11% ซึ่งเกิดจากการลดลงของต้นทุนการผลิตในหมวดแรงงานและพลังงาน ที่มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าในไทยราว 52% และ32% ตามลำดับ

เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็น นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการบริการโลจิสติกส์ การบริการทางการเงิน และการท่องเที่ยวการโรงแรม เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์บริเวณชายแดนลาว-จีน ณ เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างระบบโลจิสติกส์ทางถนนและทางราวด้วยรถไฟความเร็วสูงจีน–ลาว ส่งผลให้เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็นมีความพร้อมในการรองรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เช่น คลังสินค้า ด่านศุลกากร ระบบขนส่งแบบห่วงโซ่ความเย็น (cold-chain logistics) และบริการทางพาณิชยกรรมรองรับนักลงทุนจากจีน ทั้งในรูปแบบอาคารพาณิชย์ โรงแรม และร้านอาหาร โดยโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยสามารถจำแนก ได้เป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่


1) ธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่ง เช่น การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์เชื่อมโยงระบบรางและถนน การจัดตั้งคลังสินค้า ระบบ cold storage และคลังสินค้าปลอดภาษี (duty-free logistics)
2) สถาบันการเงินและบริการธนาคาร เช่น การเปิดสาขาธนาคาร ศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตรา และบริการทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อรองรับการใช้เงินหยวน–กีบในกลุ่มลูกค้าชาวจีนและลาว
3) ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการโรงแรม เช่น โรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ รวมถึงร้านอาหาร ร้านค้าปลอดภาษี และศูนย์วัฒนธรรมหรือแหล่งบันเทิง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์และการค้าข้ามแดน

ความพร้อมของพื้นที่ทั้งด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศ ทำให้เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็นเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้เป็นฐานขยายธุรกิจในภูมิภาคอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ในปี 2565 บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (AMATA) จากไทยได้มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะนาหม้อและนาเตย ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ใกล้เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา บนพื้นที่รวมกว่า 20,000 ไร่ ห่างจากชายแดนจีน-ลาว เพียง 20-45 กิโลเมตร และมีทำเลที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟลาว–จีน โดยทั้งสองแห่งนี้ได้รับการวางแผนให้พัฒนาเป็น นิคมอุตสาหกรรมและเมืองอัจฉริยะ (Smart & Eco City) และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จากแผนแม่บทของโครงการนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งนี้ตั้งเป้าหมายรองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ พลังงานสะอาด เกษตรแปรรูป สอดคล้องกับแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของลาวที่ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงและการลงทุนสีเขียว ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเข้าไปมีบทบาทธุรกิจที่สนับสนุนห่วงโซ่อุปทานของนิคมฯ เช่น ซัพพลายวัตถุดิบการผลิตหรือเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ซึ่งสอดรับกับแนวคิดเมืองคาร์บอนต่ำและเป้าหมาย "Zero-Waste“ ของโครงการ

โครงการ อมตะ นาหม้อ ได้ถูกกำหนดบทบาทให้เป็นฐานการผลิตทางเลือกภายใต้แนวคิด “China Plus One” เพื่อรองรับการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุนที่ต้องการขยายออกจากจีน โดยใช้ประโยชน์จากโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงและทางด่วนในอนาคตเพื่อเข้าถึงตลาดจีนอย่างมีประสิทธิภาพ เมืองอุตสาหกรรมแห่งใหม่นี้ครอบคลุมพื้นที่ 5,600 ไร่ ประกอบด้วยโซนอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร เช่น โรงพยาบาล โรงแรม สถาบันการศึกษา และสาธารณูปโภคอัจฉริยะ พร้อมพื้นที่สีเขียวตามแนวคิดเมืองยั่งยืน โดยในปี 2568 มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และตั้งเป้าจัดสรรพื้นที่เพื่อจำหน่ายประมาณ 600 ไร่ เพื่อรองรับนักลงทุนกลุ่มเป้าหมาย
ด้วยทำเลที่ตั้งที่เชื่อมต่อโดยตรงกับโครงข่ายโลจิสติกส์ภูมิภาค และการสนับสนุนจากภาคนโยบายทั้งฝั่งลาวและไทย โครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะ นาหม้อ จึงถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานธุรกิจและสร้างความเชื่อมโยงในระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดงโพสี (Dongphosy SEZ) ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการมีความเหมาะสมในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางกิจกรรมพาณิชย์ การท่องเที่ยว และบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เดินทางข้ามพรมแดน นักลงทุน และนักธุรกิจต่างชาติที่สัญจรผ่านเนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไทยและลาว จึงส่งผลให้เกิดโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปมีบทบาทในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์ และธุรกิจโรงแรม เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์บริเวณแขวงเวียงจันทน์ โดยมีโครงการสำคัญคือ ท่าบกท่านาแล้ง (Thanaleng Dry Port) ซึ่งถือเป็นประตูการค้าแห่งใหม่ของลาวที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและโลจิสติกส์ทางบกของภูมิภาค (land-linked hub) เชื่อมโยงเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศจีน ไทย เวียดนาม และกลุ่มประเทศยุโรป

 


โครงการท่าบกท่านาแล้งดำเนินการบนพื้นที่กว่า 382 เฮกตาร์ (2,387 ไร่)โดยเชื่อมต่อโดยตรงกับ จ.หนองคาย ของไทย และสถานีรถไฟท่านาแล้ง ในลาว ด้วยสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 1 ซึ่งเปิดใช้งานในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยท่าบกท่านาแล้งมีความสามารถในการรองรับตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 300,000 ตู้/ปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2-1.8 ล้านตู้/ปีในอนาคต จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1) ธุรกิจพาณิชย์ ค้าปลีก และบริการ เช่น การพัฒนา ร้านค้าปลอดภาษี (Duty-free shop), เอาต์เล็ต
พรีเมียม, ศูนย์การค้า (Shopping mall, Hypermarket) และร้านค้าบริการ เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสถานบันเทิง เพื่อรองรับนักเดินทางจากจีน ลาว และไทย รวมถึงลูกค้าในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
2) ธุรกิจโรงแรมและที่พัก เช่น การลงทุนในโรงแรมระดับกลางถึงสูง รีสอร์ต Service Apartments หรือ Aparthotel ซึ่งตอบโจทย์นักธุรกิจและนักเดินทางระหว่างประเทศที่ต้องการที่พักระยะสั้นถึงปานกลาง
เขตดงโพสีมีศักยภาพสูงในด้านคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน และบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นกลไกสำคัญ ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของลาวสู่การเป็นจุดเชื่อมโยงการค้าระดับภูมิภาคในอนาคต

เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษท่าแขก (Thakhek SEZ) เป็นอีกพื้นที่ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์และที่พักโรงแรม เขตฯท่าแขกตั้งอยู่บนแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) โดยมีถนนหมายเลข 12 เชื่อมโยงระหว่างลาวและเวียดนาม พร้อมทางออกสู่ทะเลที่ท่าเรือ หวุงอ่าง (Vung Ang Port) ของเวียดนาม ทั้งนี้ รวมถึงเส้นทางรถไฟเวียงจันทน์-หวุงอ่าง ที่รัฐบาลลาวและรัฐบาลเวียดนามมีแผนพัฒนาในระยะข้างหน้า จะส่งเสริมให้เขตเศรษฐกิจพิเศษท่าแขกเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
เขตนี้มีจุดแข็งด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอัตราค่าเช่าที่ดินที่ต่ำมาก ประมาณ 0.19 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตารางเมตรต่อเดือน อีกทั้ง ยังมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเช่น Thakhek Dry Port (ICD) ซึ่งเป็นศูนย์โลจิสติกส์และลานตู้คอนเทนเนอร์ บนพื้นที่ 114 เฮกตาร์ โดยอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และ Trade & Warehouse Complex พื้นที่กว่า 100 เฮกตาร์ ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า คลังสินค้า โรงงานประกอบอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย ดังนี้
1) ธุรกิจพาณิชย์และบริการโซนพาณิชย์แบบครบวงจร รองรับทั้งประชากรท้องถิ่นและนักเดินทางระหว่างประเทศ โดยสามารถลงทุนในธุรกิจห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลอดภาษี (Duty-free shop) เอาต์เล็ตพรีเมียม (Premium outlets) Hypermarketร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ธนาคาร และศูนย์บริการข้อมูล IT เพื่อรองรับนักเดินทางจากลาว ไทย และเวียดนาม
2) ธุรกิจโรงแรมและที่พักโครงการรีสอร์ต วิลล่า โรงแรม คลับ และโซนที่พักแบบครบวงจร เหมาะสำหรับนักธุรกิจและนักเดินทางข้ามชาติ โดยเฉพาะรูปแบบ Service Apartments และ Aparthotel ซึ่งรองรับการเข้าพักระยะสั้นถึงปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยปัจจัยด้านทำเลเชิงยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และต้นทุนการดำเนินการที่แข่งขันได้ ท่าแขกจึงเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการขยายตัวของภาคพาณิชยกรรมและบริการ และเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายตลาดในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

นักลงทุนไทยที่สนใจจะสามารถเข้าไปลงทุนในลาวได้อย่างไร
การเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการไทยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ของลาว จำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายและข้อกำหนดของทางการลาวอย่างเคร่งครัด โดยกระบวนการเริ่มต้นจากการเลือกทำเลที่เหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจ จากนั้นผู้ประกอบการต้องดำเนินการยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานบริหาร SEZ ที่ต้องการลงทุน โดยจัดเตรียมเอกสารหลักฐาน เช่น แบบฟอร์มการลงทุน แผนธุรกิจ สำเนาหนังสือเดินทาง และเอกสารทะเบียนบริษัท เป็นต้น
ขั้นตอนต่อมา หน่วยงานที่รับผิดชอบจะตรวจสอบและออกหนังสือลงทะเบียนให้ผู้สมัคร ซึ่งเอกสารทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงแผนการและการลงทุน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาความสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ความเหมาะสมด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชน


การอนุมัติโครงการลงทุนจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของโครงการ โดยหากมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การอนุมัติจะดำเนินการโดยหน่วยงานท้องถิ่นหรือแขวง แต่หากเกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะต้องเสนอให้ส่วนกลางพิจารณาอนุมัติ โดยเฉพาะโครงการที่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องผ่านการพิจารณาโดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมระดับชาติ
เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว นักลงทุนจะต้องยื่นคำขอใช้น้ำ-ไฟ กับสำนักงานบริหาร SEZ หรือ OSS Center ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่าง ๆ ให้แก่นักลงทุน
ทั้งนี้ ธุรกิจบางประเภท เช่น โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และ โลจิสติกส์ อาจต้องมีขั้นตอนการขอใบอนุญาตพิเศษเพิ่มเติม โดยขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
กระบวนการดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นระบบและความพร้อมของประเทศลาว ในการรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาค


ความท้าทายสำหรับนักลงทุนไทยในการเข้าไปลงทุนในลาว
แม้ว่าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว จะเปิดโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ให้แก่ผู้ประกอบการไทย แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ การเมือง การเงิน และตลาดแรงงาน ดังนี้
ประการแรก ความไม่แน่นอนของกฎหมายและระเบียบภาครัฐถือเป็นอุปสรรคสำคัญ กฎหมายด้านธุรกิจในลาวยังมีการปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งแนวทางปฏิบัติบางประการยังขาดความชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพึ่งพาพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อช่วยดำเนินการในระบบราชการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน โดยเฉพาะขั้นตอนขออนุญาตลงทุนและการจัดตั้งธุรกิจ
ประการที่ 2 ค่าเงินกีบที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ 14 ส.ค. 2568 อยู่ที่ 21,649.15 กีบ ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอ่อนค่าลงราว 61% เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ยในปี 2558-2560 ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าเงินกีบแข็งที่สุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการชำระหนี้ต่างประเทศ
ประการที่ 3 ตลาดแรงงานในลาวกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะรองรับการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ต้องใช้แรงงานฝีมือ นอกจากนี้ การหลั่งไหลของเงินลงทุนจากต่างประเทศยังส่งผลให้เกิดการแข่งขันแย่งแรงงานภายในประเทศมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงอาจเผชิญกับต้นทุนแฝงจากการฝึกอบรมแรงงาน
อย่างไรก็ดี ในด้านการส่งออกสินค้า ถึงแม้ว่าลาวจะถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ถึง 40% แต่ลาวอาจจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ อย่างจำกัด เนื่องจากการส่งออกของลาวไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยราว 2.6% ของการส่งออกทั้งหมดของลาว ความท้าทายเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยควรมีแผนบริหารความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเชิงลึกอย่างรอบด้านก่อนเข้าลงทุนในประเทศลาว


สุปรีย์ ศรีสำราญ
ศศิกาญจน์ ปิติอานนท์
Krungthai Compass

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

SKIN เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

เด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ไปตามกระแสตลาดหุ้นไทย ภาคเช้าที่ผ่านมาเด้งกลับ แต่ยังไปถึง 1280 จุด รอ...

NAM โชว์นวัตกรรมการแพทย์ในงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025

NAM โชว์นวัตกรรมการแพทย์ในงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้