Today’s NEWS FEED

News Feed

SCB CIOมองเฟดปรับลดดอกเบี้ยผนวกดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า หนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นEM Asiaแนวโน้มเติบโตดียาวถึงปีหน้า

71

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 22 กันยายน 2568)-------SCB CIO มอง เฟดลดดอกเบี้ยหลังคงดอกเบี้ยสูงมานาน เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ จากสถิติในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ ในช่วงปี นับจากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนเฉลี่ย สูงกว่า 20%แต่มีความกังวลบนความเป็นอิสระของเฟด และการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ อาจกระทบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวให้ปรับเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ ยังพบว่าเมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า จะหนุนให้ตลาดหุ้น EM Asia มีแนวโน้มเติบโตดี จากเงินทุนไหลเข้าและช่วยลดต้นทุนหนี้สกุลดอลลาร์ คาด  EPS ของหุ้นกลุ่ม EM Asia ยังเติบโตดีถึงปีหน้า สำหรับพอร์ตการลงทุน SCB CIO แนะกระจายลงทุนในพอร์ตหลัก ได้แก่ พันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ ที่มี duration สั้น  ลงทุนใน Private Asset ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น รวมทั้ง กระจายการลงทุนในตลาดหุ้น EM Asia  ในจีน All-Share อินเดีย และทองคำ ส่วนพอร์ตเสริม แนะลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Shares ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Nasdaq 100 และ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีม AI

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยอีก 50 bps ในปีนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีนี้ อยู่ที่ 3.50%-3.75% สอดคล้องกับตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ยังคงอ่อนแอ โดยจากสถิติในอดีต พบว่า การกลับมาลดดอกเบี้ยของเฟดหลังหยุดพัก (pause) ถือเป็นสัญญาณบวกต่อทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งในอดีตให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในช่วง 1 ปีถัดจาก เฟดกลับมาลดดอกเบี้ย มากกว่า 20ดังนั้น จึงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บนพอร์ตหลักระยะยาว สอดคล้องกับที่ BlackRock ยัง Overweight ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ ตามที่ได้รับอานิสงส์หลักจากธีม AI และการขยายตัวของกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียน

 

สำหรับตลาดตราสารหนี้ SCB CIO มองว่า ความกังวลบนความเป็นอิสระของเฟด จากการถูกแทรกแซงทางการเมือง ความเสี่ยงเงินเฟ้อฝั่งอุปทานที่มีอยู่ จากกำแพงภาษีและแรงงาน รวมทั้ง หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูง จะทำให้ UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยง (term premium) ที่เพิ่มขึ้นบนการถือพันธบัตรระยะยาว ดังนั้น จึงให้เน้นลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ ที่มี duration สั้น

 

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง  โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากการที่  1)  เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย  และ แนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหลังจากนั้น  2) เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่วลงจากข้อมูลตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ขณะที่โมเมนตัมการเติบโตของประเทศอื่นๆ ที่เริ่มดีกว่าสหรัฐฯ 3) ความกังวลเสถียรภาพการคลังสหรัฐฯ และความเป็นอิสระของเฟด โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง และ4) ความต้องการการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ถือสินทรัพย์สหรัฐฯ

 

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง  มีแนวโน้มส่งผลดีต่อหุ้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia) ผ่านเงินทุนไหลเข้า ทำให้เพิ่มสภาพคล่อง และหนุน valuation ที่ดีขึ้น โดยตามสถิติพบว่า ในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ อ่อนค่า มักหนุนผลตอบแทนหุ้น EM Asia เป็นบวก ขณะที่ ธนาคารกลางใน EM Asia มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ตามที่มุ่งเน้นกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ  และเงินเฟ้อส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย รัฐบาลใน EM Asia มี Room กระตุ้นการคลัง ตามที่หนี้ต่อ GDP ยังไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศหลักใน DM และ GDP ที่มีศักยภาพเติบโตไว นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่า ยังช่วยลดต้นทุนหนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยการคาดการณ์ EPS ของหุ้นตลาดหลักใน EM Asia ปี 2568-2569 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี

 

ตลาดหุ้น EM Asia ที่ SCB CIO มองว่าน่าสนใจ ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน All-Share ที่นโยบายต่อต้านการแข่งขันที่ไม่สร้างมูลค่า (anti-involution) และความพยายามลดการพึ่งพาต่างชาติในด้านเทคโนโลยี ของทางการจีน มีแนวโน้มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน โดยนโยบาย anti-involution ที่มุ่งเน้นการลดสงครามราคา และกำลังผลิตส่วนเกิน อาจกดดัน GDP จีนในช่วงสั้น แต่จะช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อของจีนให้เพิ่มขึ้น ซึ่งเราคาดว่า รัฐบาลจะทยอยออกมาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมออกมาตรการลดผลกระทบ และ จะเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นในช่วงการเผยแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ ดังนั้น ผลต่อตลาดหุ้นจีน ในระยะสั้นจึงมีจำกัด แต่ในระยะกลาง-ยาว คาดว่า จะช่วยหนุนกำไรอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในจีน โดยเฉพาะบริษัทรายใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง ที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการควบรวมกิจการที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการควบคุมการผลิตเข้มงวด หนุนอัตรากำไรดีขึ้น เช่น กลุ่มเหล็กและซีเมนต์ 

 

SCB CIO คาดว่า รัฐบาลจีนอาจเพิ่มการสนับสนุนทางการคลัง รวมทั้งอาจออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์เพิ่มเติมควบคู่ไปอีกด้วย ส่วน ความพยายามลดการพึ่งพาต่างชาติในด้านเทคโนโลยี ผ่านนโยบายสนับสนุนต่างๆ จากทางการจีน โดยเร่งเดินหน้าแผน "AI+" ตั้งเป้าใช้งาน AI ครอบคลุมกว่า 70% ของอุปกรณ์อัจฉริยะในปี 2570 พร้อมจัดตั้ง Big Fund III มูลค่า 344 พันล้านหยวน ที่ไว้หนุนภาคเซมิคอนดักเตอร์และ AI เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ สะท้อนภาพบวกของหุ้นเทคโนโลยีของจีนในระยะกลาง-ยาว จากแรงหนุนเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ชัดเจน โดย SCB CIO แนะนำลงทุนตลาดหุ้นจีน All-Share ในพอร์ตหลักระยะยาว และในกรณีที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูง สามารถลงทุนตลาดหุ้นจีน A-Share ในพอร์ตเสริมระยะสั้นได้ด้วย

ในส่วนของตลาดหุ้นอินเดีย ในระยะสั้นมีความผันผวนจาก ความไม่แน่นอนข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ยังมีปัจจัยหนุนการลงทุน จากความคาดหวังว่า อินเดียจะมีการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังเพิ่มเติม โดยเฉพาะ การปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการ (GST) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งนี้ SCB CIO ยังคงแนะนำลงทุนตลาดหุ้นอินเดียบนพอร์ตหลัก สอดรับกับ BlackRock ที่ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว

 

ตลาดหุ้นไทย SCB CIO มองว่า มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น จากความชัดเจนทางการเมือง ที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยหลังจากนี้ ต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ขณะที่ คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps. ในช่วงไตรมาส 4 นี้ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย

ทองคำมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมถึง ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่มีอยู่ โดยที่แรงซื้อสำคัญมาจาก กองทุน Gold ETF รวมทั้ง จากธนาคารกลางทั่วโลกที่ต้องการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ สัดส่วนมากกว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ดังนั้น SCB CIO จึงแนะนำให้ลงทุนทองคำ ในพอร์ตหลักระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายและเศรษฐกิจ และทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ จากภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้  การจัดพอร์ตลงทุน ของ SCB CIO บนพอร์ตหลัก (มากกว่า 1 ปีขึ้นไป) แนะนำกระจายการลงทุนเพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์  ได้แก่ 1) เพื่อสร้างกระแสเงิน เน้นพันธบัตรของสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG สหรัฐฯ ที่มี duration สั้น และ Private Asset ที่ช่วยสร้างผลตอบแทนระยะยาว รวมทั้ง สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตสม่ำเสมอ 2) เพื่อสร้างการเติบโต เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น จาก EPS ที่ยังเติบโตดี และการกระตุ้นการคลังที่ยังสนับสนุน  รวมทั้ง กระจายการลงทุนในตลาดหุ้น EM Asia ได้แก่ จีน All-Share และอินเดีย และ 3) ป้องกันความเสี่ยง เน้นลงทุนบนทองคำ ส่วน บนพอร์ตเสริม (น้อยกว่า ปี) SCB CIO แนะนำลงทุนระยะสั้นบนตลาดหุ้นจีน A-Shares ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Nasdaq 100 และ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธีม AI

 

จัดทำโดย SCB CIO ณ วันที่ 19 กันยายน 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน

คำเตือน

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน 
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

iPhone 17 Series By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นบรรยากาศการซื้อขายiPhone 17 Series แล้ว กระแสแรง สะท้อนถึงกำลังซื้อของเหล่า บรรดาสาวก....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้