Today’s NEWS FEED

News Feed

จับตานโยบาย ครม.ใหม่ ส.อ.ท. ย้ำความต่อเนื่อง-ผลลัพธ์ชัดเจน

106

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 กันยายน 2568)-----------นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงมุมมองต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการประจำและผู้บริหารจากภาคเอกชน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางทิศทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งในและต่างประเทศ

"ภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่การแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น สิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง คือ การที่รัฐบาลทำงานอย่างมีเอกภาพ วางนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" นายเกรียงไกร กล่าว

จากที่ได้มีการหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ประกอบกับ ครม. ชุดใหม่ที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน ถือว่าเป็นทีม ครม.เศรษฐกิจชุดเดิมที่ได้มีการหารือร่วมกัน และมีทิศทางความเห็นที่สอดคล้องกัน

ทั้งนี้ ระยะเวลา 4 เดือนของการเป็นรัฐบาล ถือว่าท้าทายมากสำหรับการทำงาน จึงต้องการเห็นความร่วมมือ ความตั้งใจจริง และการทำงานเป็นทีมของ ครม. รวมทั้งอยากให้นำ "5 ข้อเสนอเร่งด่วน" ที่ ส.อ.ท. ได้นำเสนอไว้จากการหารือที่ผ่านมา นำไปปรับเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมหัวข้อดังนี้

1) การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า ซึ่งจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยจากการหารือที่ผ่านมา ทางนายกรัฐมนตรีและคณะ พร้อมรับข้อเสนอของ ส.อ.ท. ในการเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ของสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (RVC) รวมทั้งกำกับดูแลการนำเข้าและการตรวจสอบสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมาย ควบคู่กับการผลักดันการใช้และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเน้นซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือ Made in Thailand (MiT) เพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในระยะยาว

2) การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วยการกำหนดมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และมีนโยบายซอฟต์โลน ดอกเบี้ยต่ำ ควบคู่กับการปฏิรูประบบภาษีให้ทันสมัย โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมทั้งจัดทำมาตรการจูงใจให้ SMEs เข้าสู่ระบบบัญชีเดียวและเสียภาษีที่ถูกต้อง เพื่อมีสิทธิในการรับประโยชน์ต่างๆ จากโครงการความช่วยเหลือจากภาครัฐในอนาคต

3) การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ โดยร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ โดยในระยะสั้น มุ่งหวังให้มีการลดค่าไฟให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนค่าพลังงานให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ให้สามารถแข่งขันได้ โดยไม่ผลักภาระไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพและเพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้บนเวทีโลกและสอดคล้องกับมาตรการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศในระยะยาว

4) การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงคมนาคม เร่งเจรจาปัญหาเพื่อหาข้อยุติโดยเร็ว หามาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากช่วงการปิดด่านในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งช่วยหาเส้นทางการขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางอื่นๆ ทดแทน รวมถึงมาตรการเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ และชดเชยค่าขนส่งที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อให้ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

5) การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่ง ส.อ.ท. ได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการแก้ปัญหาปม 'เงินไม่รู้ที่มา ทะลักเข้าไทยทุกเดือนจำนวนมากผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา' ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งหามาตรการเงินช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท

นอกจากนี้ ส.อ.ท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมไทยและผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าภาคการผลิตและสร้างความสามารถแข่งขันในระดับโลก

ด้านแรงงานถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ โดย ส.อ.ท. พร้อมร่วมกับกระทรวงแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต ทั้งในด้านดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อสร้างแรงงานคุณภาพสูงที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่

ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G–6G การสนับสนุนเทคโนโลยี AI และ IoT รวมถึงมาตรการความมั่นคงไซเบอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการรับผิดชอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

สำหรับด้านนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมเป็นพลังหลัก ประเทศไทยต้องเน้นสร้าง "นวัตกรรมมุ่งเป้า" โดยใช้จุดแข็งของไทยนำมาต่อยอด เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งไทยถือเป็นความได้เปรียบ ไปสู่เกษตรสมัยใหม่หรืออัจฉริยะ เพื่อพัฒนาวัตถุดิบป้อนไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ

พร้อมกันนี้ จำเป็นต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI มายกระดับศักยภาพบุคลากร ผ่านการจัดทำหลักสูตรที่ช่วย Upskill (ยกระดับทักษะเดิม) Reskill (เรียนรู้ทักษะใหม่) และ Newskill (สร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในอนาคต) เช่น การประยุกต์ใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างกำลังคนคุณภาพ ตอบโจทย์ตลาดแรงงานและภาคอุตสาหกรรม

ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านราคา เพื่อให้สินค้าของไทยมีความโดดเด่นและสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ แนวทางสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็น "ประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม" อย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับภาคการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วงครึ่งปีหลัง ส.อ.ท. มองว่าภาครัฐควรมีมาตรการประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมา และจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ให้ทั่วถึง โดยไม่กระจุกตัวเพียงจังหวัดใหญ่ๆ เพียงแค่ 4-5 จังหวัด ส่วนระยะยาวควรปรับโครงสร้างด้านความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High-value Tourism) และสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า (MICE) เพื่อสร้างรายได้และกระจายเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น

"4 เดือนแรก เราต้องเห็นผลลัพธ์แบบ Quick Win และอีก 4 เดือนถัดมาก็ควรเน้นการประคองให้ต่อเนื่อง" นายเกรียงไกร กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า "สิ่งสำคัญที่สุด คือ การแปลงนโยบายเป็นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและชัดเจน หากรัฐบาลสามารถทำได้เช่นนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย"

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

วันนี้ FTSE Rebalance By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ครม.อนุทิน 1” เรียบร้อยแล้ว ท้ายตลาดหุ้นวันนี้ FTSE Rebalance เชื่อว่า..

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้