สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 กันยายน 2568 )-----แม้สหรัฐฯ เก็บภาษี Reciprocal สินค้าอินเดียในช่วงที่ผ่านมา แต่การส่งออกของอินเดียในเดือน ส.ค. 2025 ยังขยายตัว 6.7% แตะ 35.1 พันล้านดอลลาร์ฯ จากการเร่งส่งออกโดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัว 18% ในช่วง 8 เดือนแรกแตะ 40.39 พันล้านดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ดี การปรับภาษีจาก 25% เป็น 50% ตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. ยิ่งสร้างกดดันต่อเศรษฐกิจอินเดีย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด
สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าอินเดีย 50% ผลต่ออินเดียและนัยต่อภูมิรัฐศาสตร์
อินเดียกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาษี Reciprocal ของสหรัฐฯจากเดิม 25% ปรับเพิ่มเป็น 50% ตั้งแต่ 27 ส.ค. ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะต่อไป มาตรการดังกล่าวเป็นการตอบโต้การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้อินเดียกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญภาษีสูงที่สุดเทียบเท่าบราซิล ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศตึงเครียดขึ้นอีก
ความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐฯ ที่สั่นคลอน ผลักให้อินเดียขยับเข้าใกล้ขั้วเศรษฐกิจเอเชียในอนาคต อินเดียฟื้นความสัมพันธ์กับจีนผ่านการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation: SCO) ที่นครเทียนจิน เมื่อปลายเดือน ส.ค. โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เดินทางเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และตกลงเปิดเที่ยวบินตรงอินเดีย-จีน ขณะที่ความร่วมมือกับฝั่งตะวันตกอย่าง Quad (สหรัฐฯ-อินเดีย-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย) มีแนวโน้มหยุดชะงัก
ค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าต่อเนื่องสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงในระยะถัดไป หลังขึ้นภาษีค่าเงินรูปีอ่อนค่าต่อเนื่องและทำสถิติเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ 324 รูปี/ดอลลาร์ฯ ณ 5 ก.ย.2025 แม้ช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกไปสหรัฐฯในระยะสั้น แต่ในระยะต่อไปหากรูปีอ่อนเกิน 90 รูปี/ดอลลาร์ฯ อาจกดดันเงินเฟ้อในประเทศและเสถียรภาพทางการเงินในประเทศ จนกดดันให้ธนาคารกลางอาจต้องเข้าแทรกแซงค่าเงิน ทั้งนี้ ล่าสุด ณ 18 ก.ย.2025 ค่าเงินปรับตัวอยู่ที่ 88.121 รูปี/ดอลลาร์ฯ ยังคงอ่อนค่า 0.43% เทียบกับ 27 ส.ค.2025 วันที่มีการปรับเพิ่มภาษี
ความไม่แน่นอนทางกฎหมายจะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันทิศทางนโยบายภาษีสหรัฐฯ เมื่อ 29 ส.ค. 2025 ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีคำตัดสินว่านโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ใช้อำนาจฉุกเฉิน (IEEPA) เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตกฎหมาย แม้ภาษียังบังคับใช้ต่อไปจนถึง 14 ต.ค. เพื่อเปิดทางให้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา แต่คำตัดสินนี้ยิ่งสะท้อนความไม่แน่นนอนและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต
เศรษฐกิจอินเดียปี 2025 ยังประคองตัวเติบโตได้ แต่ปี 2026 เผชิญแรงกดดันเต็มรูปแบบจากกำแพงภาษี 50% โดยในปี 2025 ผลกระทบยังจำกัดเพราะได้แรงหนุนจากการเร่งส่งออกในช่วงแรก ขณะที่ GDP ไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2025-2026 (เม.ย.-มิ.ย. 2025) ยังเติบโตได้แข็งแกร่งที่ 7.8% ช่วยประคองเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของอินเดียมีสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็น 2.1% ของ GDP ทำให้แรงกดดันจะชัดเจนในปี 2026 โดยทุกการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลง 1% จะฉุด GDP อินเดียราว 02%
ภาษีสหรัฐฯ ต่ออินเดียเปิดโอกาสสินค้าไทย แต่การแข่งขันในอาเซียนยังต้องระวัง
โอกาสขยายตลาดของไทยในสหรัฐฯ มีเฉพาะสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและมีส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากโครงสร้างการส่งออกไทยกับอินเดียซ้อนทับกันไม่มาก สินค้าไทยบางรายการที่ได้เปรียบจากอัตราภาษี 19% เทียบกับอินเดียที่ถูกเก็บ 50% จึงมีโอกาสขยายตลาดได้ต่อเนื่อง เช่น ปลั๊กแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ส่งสัญญาณ โทรทัศน์ ข้าว ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องประดับ เครื่องประดับเงิน สิ่งทอในห้องนอน กุ้งแปรรูป และเฟอร์นิเจอร์ (รูปที่ 2 และรูปที่ 3)
เกิดกระแสต่อต้านสินค้าสหรัฐฯ ในอินเดีย แต่ยังไม่นำไปสู่โอกาสไทยในการแทนที่สินค้าสหรัฐฯที่ชัดเจน เพราะสินค้าที่อินเดียนำเข้าจากสหรัฐฯ คิดเป็น 6.1% ของการนำเข้าทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่แทนที่ได้ยาก โดยไทยมีสัดส่วนเพียง 1.7% ของการนำเข้าอินเดีย ซึ่งมีเพียงสินค้าบางรายการที่มีโอกาสจะเข้าไปทดแทนสหรัฐฯได้ เช่น แพลตตินั่ม เครื่องปรับอากาศ เคมีภัณฑ์ เครื่องประดับ และลวดทองแดง เป็นต้น
การเบี่ยงเบนทางการค้าสร้างแรงกดดันต่อสินค้าไทยไม่มาก แม้สินค้าบางส่วนจะไหลเข้าสู่อาเซียน (รูปที่3) เนื่องจากสินค้าอินเดียที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ อาจระบายเข้าสู่อาเซียน ส่วนใหญ่เป็นคนละประเภทกับสินค้าไทย อีกทั้งอาเซียน-อินเดียมี FTA เปิดตลาดอยู่แล้วทำให้การแข่งขันกับไทยไม่รุนแรง อย่างไรก็ดี อาจจะได้เห็นภาพสินค้าอินเดียเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในอาเซียนและแข่งกับไทยสูงขึ้น เช่น ยารักษาโรค เพชร เครื่องประดับ สิ่งทอในห้องนอน กุ้งแปรรูป ปลั๊กแปลงไฟ เครื่องประดับเงิน และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ ปัจจุบันอาเซียนนำเข้าจากอินเดียค่อนข้างน้อย โดยอินเดียเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 14 ของอาเซียน มีสัดส่วนเพียง 1.9% ของการนำเข้าอาเซียน
รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว
ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ ทั้งนี้ ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร่ หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)
Disclaimers
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กำแพงภาษี 50% ของสหรัฐฯ ต่ออินเดียสะท้อนการจัดขั้วเศรษฐกิจโลกใหม่ที่ไทยต้องจับตา ในภาพรวมส่งผลบวกต่อการค้าของไทยในการทำตลาดสหรัฐฯ ซึ่งการทำการตลาดเชิงรุกอาจช่วยช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดแทนสินค้าอินเดีย ขณะเดียวกันไทยก็ต้องเตรียมรับมือกับแรงกดดันจากสินค้าอินเดียอาจหันมาทำตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการแข่งขันของไทยในตลาดเดียวกัน