วันนี้ชี้ชะตาใครได้เป็นนายกฯคนที่ 32
HORIZON MARKET VIEW
• ตลาดหุ้นโลกในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างผันผวนจากแรงความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามยังมีแรงหนุนความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงเข้ามาช่วยพยุง เพิ่มสภาพคล่องในระบบ (ธีม LIQUIDITY DRIVEN) ทำให้เห็นการ REBOUND ของตลาดหุ้นในบางจังหวะ
• ความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานสหรัฐฯ ปรากฏชัดขึ้น โดยคืนนี้จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (คาด 75,000 ราย) และอัตราการว่างงาน (คาดเพิ่มขึ้นเป็น 4.3%) ซึ่งจากที่ CONSENSUS คาดการณ์ดูน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ดีตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณอ่อนลง กำลังหนุนให้ความคาดหวังเพิ่มขึ้น ที่จะเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบวันที่ 17 ก.ย. 68 มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 99.4% (วานนี้ 96%)
REGION RALAR
• BROADCOM (AVGO US) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปีบัญชี 2025 ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ พร้อมทั้งคาดการณ์รายได้ของ AI ในไตรมาสถัดไปยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง
• SANOFI (SAN FP) -8.31% หลังผลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3ของยา AMLITELIMAB แสดงประสิทธิภาพออกมาต่ำคาด แม้ผลทดลองด้านความปลอดภัยออกมาดี
THAI FOCUS
• วันนี้จะมีการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 โดยคาดว่าจะมีการเสนอชื่ออยู่ 2 ท่าน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยทีมเต็งในสนามเลือกนายกฯ และ ไชยเกษม นิติศิริอดีตอัยการสูงสุดเป็นตัวแทนลงแข่งขัน
• ซึ่งสถิติผลตอบแทน SET หลังจากสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ คนใหม่มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย +0.7%-2% ในช่วง 1 สัปดาห์หลังจากนั้น(ข้อมูลย้อนหลัง 6 ครั้ง)
SYNAPSE STRATEGY
• กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ขอแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ 1. หุ้นเด่นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลงอย่าง MTC TIDLOR SAWAD KTC AP
• ส่วนหุ้นเก็งกำไรสั้นๆ อิงอนุทินจะได้เป็นนายกฯคนที่ 32 ได้SENTIMENT หรือกระแสบวกสั้นๆ อย่าง STECON STPI PTG GUNKUL TASCO เป็นต้น
HORIZON MARKET VIEW
สัญญาณปรับลดดอกเบี้ย ก.ย. ชัดเจนขึ้น
ตลาดหุ้นโลกในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างผันผวนจากแรงความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามยังมีแรงหนุนความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงเข้ามาช่วยพยุง เพิ่มสภาพคล่องในระบบ (ธีม LIQUIDITY DRIVEN) ทำให้เห็นการREBOUND ของตลาดหุ้นในบางจังหวะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต กรณีที่ FED ปรับลดดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย (โอกาสเกิด RECESSION ในอีก 1 ปีข้างหน้าของ BLOOMBERG อยู่ระดับต่ำกว่า 40%) ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวสูงขึ้นโดย S&P500 ขยับราว +2% ถึง +15%
กลับมาที่ปัจจุบัน ความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานสหรัฐฯ ปรากฏชัดขึ้น ตั้งแต่ตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จากJOLTS เดือน ก.ค. 68 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ต่อมาล่าสุดวานนี้สหรัฐฯ เผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ADP เดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ 54,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาด อีกทั้งตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงาน237,000 ราย ยังปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าตลาดคาดนอกจากนี้จากการสำรวจของ 22V RESEATCH พบว่า ในรอบเดือน ส.ค. 68 ตลาดให้น้ำหนักค่อนข้างสูงกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (คาด 75,000 ราย ซึ่งยังคงต่ำแสน) ตามมาด้วยอัตราการว่างงาน (คาดเพิ่มขึ้นเป็น 4.3%) ซึ่งจากที่ CONSENSUS คาดการณ์ดูน่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ดีตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณอ่อนลง กำลังหนุนให้ความคาดหวังเพิ่มขึ้น ที่จะเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบวันที่ 17 ก.ย. 68 มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 99.4% (วานนี้96%) และในปีนี้ การลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นราว 2-3 ครั้ง คาดเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้น VISA (DR คือ VISA80) AXP (AMERICANEXPRESS), MA (MASTERCARD)
REGION RADAR
BROADCOM (AVGO US) เผยงบไตรมาส 3 ปีบัญชี 2025 ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
BROADCOM รายงานรายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ $1.59 หมื่นล้าน +22% YOY (สูงกว่าคาด 0.7%) และ EPSอยู่ที่ $1.69 +36% YOY (สูงกว่าคาด 1.4%) หลังได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจ AI ที่แข็งแกร่ง โดยรายได้จาก AI อยู่ที่ $5.2 พันล้าน +68% YOY นอกจากนี้ บริษัทเผยว่าได้รับคำสั่งซื้อชิปราว $1 หมื่นล้าน ซึ่งจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ปี2026 อีกทั้งบริษัทได้คาดรายได้AI ในไตรมาสถัดไปอยู่ที่ระดับ $6.2 พันล้าน (สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ $5.9 พันล้าน)
SANOFI (SAN FP) ร่วงกว่า 8% หลังบริษัทเผยทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ของยา AMLITELIMAB ซึ่งเป็น ยาสำหรับรักษาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง (ATOPIC DERMATITIS / ECZEMA) แสดงประสิทธิภาพต่ำกว่าที่คาด แม้ผลด้านความปลอดภัยออกมาดี อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาหุ้นของ SANOFI จะฟื้นตัวได้ในภายหลัง หากเปรียบเทียบกับในอดีตอย่าง ELI LILLY ที่ราคาได้มีการย่อตัว -16% ใน 2 วัน หลังจากยาลดความอ้วนแสดงประสิทธิภาพที่ต่ำคาด แต่หลังจากนั้นไม่นาน สามารถที่จะมาปิด GAP ได้ในระยะถัดไป
ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง แนะนำ ETF ที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หากไม่อยากถือเงินสด แล้วยังสามารถที่จะได้รับ YIELD ในระดับที่น่าสนใจ โดย ETF ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท US TREASURY BILL ระยะสั้นเฉลี่ยราว 3 เดือน อีกทั้งยังมี YIELD ที่คาดหวังได้อยู่ที่ระดับ 3.5-3.7% อย่างไรก็ตาม ETF ไม่มีการ HEDGEค่าเงิน จึงมีความเสี่ยงที่จะได้ผลตอบแทนลดลง หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่หากเงินบาทมีการอ่อนค่าจะได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
USD/THB มี DOWNSIDE ที่จำกัด เนื่องจากค่าเงินบาทอยู่ช่วงบริเวณแนวรับ หรือแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีอีกทั้งได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าขึ้นในระยะถัดไป
THAI FOCUS
ปัจจัยในประเทศมีอะไรที่ควรทราบบ้าง ... มาดูกัน
รัฐสภาไทยกำลังจัดให้มีการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในวันนี้ โดยคาดว่าจะมีการเสนอชื่ออยู่ 2ท่าน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทีมเต็งในสนามเลือกนายกฯ และ ไชยเกษม นิติศิริอดีตอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนลงแข่งขัน ซึ่งต้องติดตามว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร ซึ่งตัวแปรสำคัญคือพรรคประชาชนที่มีมติพรรคสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นายกฯคนที่ 32 โดยเป้าหมายหลัก คือ การผลักดันให้ประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว อย่างไรก็ตามสถิติผลตอบแทนSET หลังจากสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ คนใหม่มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย +0.7%-2% ในช่วง 1 สัปดาห์หลังจากนั้น(ข้อมูลย้อนหลัง 6 ครั้ง)
ส่วน TIMELINE ของการเลือกตั้งครั้งใหม่ หลังจากยุบสภาแล้วต้องจัดการเลือกตั้ง ภายใน 45–60 วัน อาทิเช่นถ้ายุบสภาวันที่ 1 ม.ค.68 → ต้องเลือกตั้งระหว่าง 15 ก.พ.–1 มี.ค.68 หลังจากนั้นรับรองผล : ไม่เกิน 60 วันและเปิดสภาเลือกนายกฯ : 15 วัน ดังนั้นรวมแล้วทั้งกระบวนการ ประมาณ 3–4 เดือน หลังการยุบสภา คาดว่าจะอยู่ช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.68 จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่จากการเลือกตั้งครั้งน
ส่วนอีกประเด็น คือ วานนี้มีตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปไทย ส.ค.68 ติดลบ 5 เดือนติดต่อ -0.79%YOY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ -0.70%ตามการลดลงของราคาสินค้ากลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสด ผลไม้ ไข่ไก่ รวมถึงราคาพลังงานลดลง ทั้งน้ำมันดิบโลก และนโยบายภาครัฐช่วยลดค่าไฟฟ้าขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อBOT ออกมา +0.81%YOY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ +0.78% เช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงลดลงต่อ จากนโยบายช่วยค่าครองชีพภาครัฐ บวกกับราคาผักสดต่ำลง แต่ต้องระวังราคาน้ำมันดิบผันผวน จากความไม่สงบตะวันออกลาง และภาษีตอบโต้เงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำ หนุนให้ REAL YIELD ของไทยขยับตัวขึ้นล่าสุดอยู่ระดับ +2.29% มองเป็นปัจจัยเอื้อต่อการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าการปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. จะหนุนระดับ PEขึ้น 0.67 เท่า และดัน TARGET SET INDEX จะขยับขึ้นมาได้ราว 55 จุด กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์หากอัตราดอกเบี้ยลดลง แนะนำหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ : MTC TIDLOR กลุ่มอสังหา & HIGH YIELD : AP
SPALI ADVANC SCC และกลุ่มท่องเที่ยว ERW CENTEL THAI AOT
SYNAPSE STRATEGY
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ควรเป็นอย่างไร
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาไม่ค่อยสดใสในช่วงก่อนหน้านี้ และตลาดยังรอดูตัวเลขตลาดแรงงานอย่างNONFARM PAYROLL และ UMEMPLOYMENT RATE ทำให้ตลาดให้น้ำหนักเกือบ 100% คาด FED เริ่มลดดอกเบี้ยในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าและกดดัน US BOND YIELD 10Y 2 วัน -14 BPS. อยู่ที่ 4.16%(ต่ำสุดในรอบ4 เดือน) ดังนั้นหุ้นกลุ่มแรกที่น่าสนใจ คือ หุ้นเด่นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลงอย่าง MTC TIDLOR SAWAD KTCAP เป็นต้น
ส่วนหุ้นเก็งกำไรสั้นๆ อิงอนุทินจะได้เป็นนายกฯคนที่ 32 ได้ SENTIMENT หรือกระแสบวกสั้นๆ อย่าง STECON STPI PTG GUNKUL TASCO เป็นต้น
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์