Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

89

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม

 

ดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI แม้เผชิญความผันผวนตลอดสัปดาห์ แต่สามารถฟื้นตัวได้ในวันศุกร์ ส่งผลให้ปิดบวกเล็กน้อยที่ +0.3% โดยได้แรงหนุนหลักจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน และอินเดีย


ในฝั่งตลาดตราสารหนี้ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% สะท้อนแรงซื้อกลับจากนักลงทุน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้น 1.4% และราคาทองคำปรับขึ้น 1.1%

ด้านตลาดหุ้นไทยเริ่มสะท้อนแรงขายทำกำไรหลังจากปรับตัวขึ้นถึง 9.1% ตลอดช่วง 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี SET ปรับลดลง 0.5% ในสัปดาห์ล่าสุด อย่างไรก็ดี ยังมีแรงหนุนในเชิงรายกลุ่ม โดยหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นเด่นที่ 10.4% ตามด้วยวัสดุก่อสร้าง 5.5% และบรรจุภัณฑ์ 4.4% แสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนเม็ดเงินไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีข่าวเชิงบวก


ประเด็นในต่างประเทศที่น่าสนใจ
รัฐบาลอินเดียประกาศเดินหน้าการปฏิรูป GST ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีแผนลดจำนวนอัตราภาษีหลักจาก 4 กลุ่ม เหลือเพียง 2 กลุ่ม คือ 5% สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน และ 18% สำหรับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ โดยจะทยอยยกเลิกกลุ่มเดิมอย่าง 12% และ 28% เหลือเพียงบางหมวดสินค้าพิเศษที่ยังคงต้องเสียภาษีเฉพาะกิจ (Cess) ในอัตราสูง การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของระบบภาษี เพิ่มความโปร่งใส และลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมาย (compliance cost) สำหรับภาคธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในความพยายามของอินเดียในการสร้างระบบภาษีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยควบคู่ไปกับการผลักดันนโยบายดิจิทัล การยื่นภาษีแบบอัตโนมัติ และการรักษาวินัยทางการคลัง ที่สำคัญคือ อินเดียเลือกใช้วิธีเพิ่มรายได้ภาษีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ (Tax Buoyancy) แทนการขึ้นอัตราภาษี ซึ่งต่างจากประเทศเกิดใหม่หลายแห่งที่ยังต้องพึ่งการขึ้นภาษีเพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านฐานภาษี

ในเชิงอุตสาหกรรม การลดอัตรา GST เหลือเพียง 2 กลุ่ม จะช่วยให้ภาคค้าปลีก กลุ่มสินค้าอุปโภค (FMCG) และอาหารได้รับแรงหนุนจากอัตราภาษีที่ต่ำลง ขณะที่กลุ่มสินค้าคงทน อย่างรถยนต์ขนาดเล็ก เครื่องปรับอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเดิมถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 28% มีโอกาสได้ประโยชน์จากการลดภาระภาษีลงเหลือ 18% ด้านผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มได้อานิสงส์หากต้นทุนวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนและเหล็ก ถูกจัดให้อยู่ในอัตรา 18% เช่นกัน ขณะที่ภาคบริการส่วนใหญ่แทบไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเดิมเสียภาษีที่ 18% อยู่แล้ว
Implication: การปฏิรูป GST ปี 2025 ของอินเดียสะท้อนนัยสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจในสามด้านหลัก ได้แก่ 1) การลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยตรง 2) การปรับอัตราภาษีใหม่เอื้อต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็นและสินค้าคงทนที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลง และ 3) การลดจำนวนขั้นอัตราภาษีส่งผลเชิงโครงสร้างต่อระบบภาษี ด้วยการเพิ่มความโปร่งใสและลดข้อโต้แย้งในการตีความในระยะยาว ภายใต้บริบทนี้ นักลงทุนควรจับตาการส่งผ่านของนโยบายดังกล่าวสู่พฤติกรรมการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งอาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 2026 (ตุลาคม 2025 - มีนาคม 2026)


ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
วันอังคาร — สหรัฐฯ: รายงาน Durable Goods Orders (Jul) คาดว่าจะหดตัว -4% ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลงแรงถึง -9.3% สะท้อนแนวโน้มชะลอตัวของการลงทุนในภาคธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2025
วันศุกร์ — สหรัฐฯ: ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE Price Index (Jul) คาดจะทรงตัวที่ 0.3% MoM ขณะเดียวกัน Personal Income คาดเพิ่มขึ้น 0.4% (จาก 0.3% เดือนก่อน) และ Personal Spending คาดขยายตัว 0.5% (จาก 0.3%) ส่วน Michigan Consumer Sentiment (Aug) คาดปรับลดลงสู่ 58.6 จาก 61.7 ในรอบก่อนหน้า บ่งชี้ความระมัดระวังของผู้บริโภคท่ามกลางภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและภาวะการจ้างงานที่ชะลอตัว

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถฟื้นตัวได้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สัญญาณจากหลายด้านยังบ่งชี้ถึงความเปราะบางในระยะสั้น โดยเฉพาะดัชนีชี้วัดจังหวะตลาด (Market-timing Indicators) ที่เริ่มอ่อนแรงลง ไม่ว่าจะเป็น Momentum Tracker ที่ปรับตัวลงจากโซน overbought รวมถึง Net New 52-week Highs and Lows และ McClellan Volume Summation Index ซึ่งล้วนมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับระดับในเดือนกรกฎาคม สะท้อนแรงกดดันที่อาจนำไปสู่การพักฐานของตลาด
สำหรับมุมมองระยะกลาง—โดยเฉพาะในปี 2026—แม้เรายังคงเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงของ Supercycle ที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ความตึงตัวของโมเมนตัมตลาดอาจนำไปสู่การปรับฐานระยะสั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนรอทยอยสะสม หรือ DCA ในจังหวะการอ่อนตัวเพื่อสะสม มากกว่าการไล่ซื้อครั้งเดียว (Lump Sum) ในช่วงที่ตลาดยังไม่ผ่านช่วงพักฐาน

ในตลาดตราสารหนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงต่ำกว่าแนว 4.3% อีกครั้ง สะท้อนแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ที่เปิดช่องต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า แม้แรงกดดันจากเงินเฟ้อและความเสี่ยงเชิงโครงสร้างด้านดุลการคลังของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการปรับลดลงของบอนด์ยีลด์ในระยะใกล้ แต่ท่าทีที่อ่อนลงของเฟดกำลังส่งสัญญาณให้ตลาดเริ่มปรับจุดยืนใหม่ในทิศทางที่โน้มเอียงไปสู่แนวทางผ่อนคลายของนโยบายดอกเบี้ยมากขึ้น


ในระยะสั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด (sideways) โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าต่อทิศทางเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลาง เราประเมินว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการเปลี่ยนผ่านเชิงจิตวิทยาของตลาดที่เริ่มมองข้ามปัจจัยชั่วคราวเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลกระทบเพียงครั้งเดียวจากมาตรการภาษี จะทำให้บอนด์ยีลด์รัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลงต่ำกว่ากรอบ 4.2-4.3% ซึ่งดำเนินมาในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้

ในขณะเดียวกัน ความกังวลต่อความไม่ยั่งยืนของดุลการคลังสหรัฐฯ ซึ่งมักถูกยกเป็นเหตุผลหลักในการคาดการณ์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในระยะกลางถึงยาว อาจสะท้อนการตีความที่เอนเอียงเกินจริง (over-pessimism) เนื่องจากเมื่อพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างยุโรปและจีนต่างก็เผชิญกับโจทย์ด้านงบประมาณที่ไม่แตกต่างกันมากนัก การอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา จึงสะท้อนภาพของวัฏจักรเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้วยเหตุนี้ เรายังไม่เห็นปัจจัย พื้นฐานที่หนักแน่นพอจะสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในลักษณะที่ยืดเยื้อในระยะกลาง ขณะที่โอกาสของการฟื้นตัวกลับเข้าหาค่าเฉลี่ย (mean reversion) ยังคงเป็นภาพที่มีความเป็นไปได้มากกว่าในช่วงถัดไป


ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบรูปแบบ Ascending Triangle ซึ่งโดยทั่วไปถือเป็นสัญญาณเชิงบวก (bullish signal) ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แม้จะมีแรงขายทำกำไรเป็นระยะ อันเป็นผลจากภาวะตึงตัวของ Momentum Tracker ที่อยู่ในโซน overbought แต่ภาพรวมโครงสร้างทางราคายังคงเอื้ออำนวยต่อแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง
ในระยะสั้น เรายังให้น้ำหนักกับกลยุทธ์การรอจังหวะเข้าสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว มากกว่าการไล่ซื้อในจังหวะปรับขึ้น เว้นแต่ว่า gold spot จะสามารถฝ่าแนวต้านบริเวณ 3,450 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นขอบบนของกรอบ Ascending Triangle ได้สำเร็จ ซึ่งหากเกิดขึ้น จะเป็นการยืนยันการเข้าสู่รอบขาขึ้นถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ


ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบสามารถฟื้นตัวขึ้นได้บางส่วนหลังจากเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม อัพไซด์ในระยะสั้นยังคงถูกจำกัดจากอุปทานส่วนเกิน
นอกจากนี้ ข้อมูลจากตลาดฟิวเจอร์ยังสะท้อนระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบาง โดยอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนอยู่ที่เพียง 1.3 เท่า ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 บ่งชี้ถึงการระมัดระวังของเทรดเดอร์ภายใต้ภาวะที่ยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่เข้าสู่ตลาด
ด้วยเหตุนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจึงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway มากกว่าที่จะเข้าสู่ช่วงปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เว้นแต่ว่าจะมี catalyst ใหม่เข้ามาเปลี่ยนสมดุลของตลาดพลังงานอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้เรายังไม่เห็นภาพนั้น


ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น แม้ว่าในระยะสั้นอาจรีบาวด์ได้บ้าง แต่อาจขาดความต่อเนื่อง เนื่องจากเครื่องชี้วัดจังหวะตลาดอย่างดัชนี Bull-to-Bear และ Momentum Index เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง หลังปรับขึ้นมาอยู่ในระดับสูงติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนี SET อาจเข้าสู่ช่วงการปรับสมดุลระยะสั้น
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
-Electronics: DELTA
-Food: AAI, ITC, ICHI
-Healthcare: BH, PR9
-Insurance: TLI
-ICT: TRUE


สรุปภาพตลาดวานนี้

หุ้นไทยกลับมาบวกต่อเนื่อง นำโดย DELTA THAI TRUE GULF หุ้นบวกแรงอื่น เช่น JTS VGI MAGURO IIG ส่วนปิโตรเคมีถูกล็อคกำไร

 


แนวโน้มตลาดวันนี้

Selective buy (Risk On)
แม้ตลาดหุ้นไทยยังไม่หลุดจากกรอบ แนวรับ 1230-แนวต้าน 1260/1270 จุด แต่ราคาหุ้นรายตัวบวกได้ดีกว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ PTTGC SCC IVL HANA (กลุ่มปิโตรจากข่าวเกาหลีใต้สั่งลดกำลังการผลิตปิโตรฯ และส่งออกชิ้นส่วนจากกระแสรัฐบาลกลางสหรัฐฯเข้าถือหุ้นผู้ผลิตชิป) และเราสังเกตพบแรงขายกดราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร แม้จะประกาศปันผลระหว่างกาลสูง แต่ราคาหุ้นเริ่มไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ส่วนหุ้นสินเชื่อพบแรงขายมากกว่าแรงซื้อจากความกังวลเรื่อง รัฐฯเล็งเปลี่ยนการรับรู้ดอกเบี้ยจาก Flat rate มาเป็นแบบลดต้นลดดอก

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นรายกลุ่ม รายตัว น่าจะมาจากเหตุผลเฉพาะของแต่ละคน มากกว่าการปรับฐาน หรือ ขึ้นแรง ยกแผงทั้งตลาดจากประเด็นที่อาจเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อหรือขายในตลาด เพราะกระแสการเมืองในประเทศ, การเปลี่ยนแปลงทิศทางดอกเบี้ยนโนบายของเฟด รวมถึงดอกเบี้ยในประเทศ
ด้วยแนวโน้มที่เราสังเกต ทั้งที่สัปดาห์ที่แล้วบริบทการเมืองเริ่มมีแสงและอยู่ในโฟกัสของตลาด แต่กลับไม่ได้สะท้อนความกังวลในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยเฟดที่ ผลสำรวจปรับลดมุมมองเชิงบวกลง แต่หุ้นไทยก็ไม่ได้สะท้อนผลลัพธ์เชิงลบ

ตรงข้ามปัจจัยเฉพาะตัวกลับมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นมากกว่า ดังนั้นกลยุทธ์แนะมองข้ามแนวโน้มผลกระทบคดีการเมืองในประเทศกับราคาหุ้นรายตัว แต่ให้โฟกัสไปที่ธีมหลักซึ่งจะมีผลต่อ ทิศทางผลการดำเนินงาน และปัจจัยที่จะมีผลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรม มากกว่าการให้น้ำหนักกับความกังวลการเมือง
เช่น แนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินบาท (หุ้นเด่น ได้แก่ ส่งออก นิคมอุตสาหกรรม) แนวโน้มนโยบายสหรัฐที่อาจเปลี่ยนจากการตั้งกำแพงภาษีชิ้นส่วนฯ มาเป็นการเข้าถือหุ้นตรง คาดส่งผลดีต่อหุ้นส่งออกชิ้นส่วน และนิคม เป็นต้น

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลระหว่างกาลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET รีบาวด์แต่ยังอยู่ในโครงสร้างคลื่นขาลง corrective wave a-b-c ปัจจุบันเคลื่อนที่อยูในรอบของการรีบาวด์ “b” wave โดยประเมินจุดเสี่ยง...หากดัชนีไม่สามารถทำจุด high หรือเกินกว่า 1,283 จุด ได้อาจต้องระวังการปรับฐานอีกครั้ง ปรับครั้งสุดท้ายเพื่อจบคลื่นขาลง wave (c) นั่นเอง...นอกจากนี้ช่วงที่ดัชนีปรับขึ้น แต่โมเมนตัม MACD alert! กลับเตือนในทิศทางตรงกันข้าม แผนเทรดสัปดาห์นี้ หากดัชนีดีดเข้าใกล้โซนต้าน 1,270 ขึ้นไป อาจต้องระมัดระวัง แรงขายทำกำไรระยะสั้น!
Note: ภาพระยะกลางมีโอกาสขึ้นได้อีก อาจรอการปรับฐานย่อยให้เสร็จสมบูรณ์ เป้าหมายใหญ่ 1,330 จุด ลุ้นกันยาวๆ

ไฮไลท์หุ้นแนะนำ: แผนย่อ ซื้อ “PTTGC”/ อิเล็คโทรนิกส์ เขียวยกแผง! /หุ้นเด่น BH ขาขึ้นยังไม่จบง่ายๆ WHA Impulse wave 3 และ TOP จ่อทะลุ EMA 200 วัน ติดตามการวางแผนในหน้าเลือกหุ้นเด่นประจำวันครับ


What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติคดีปมคลิปเสียงนายกฯ วันที่ 29 ส.ค.และ วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี”ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69
"กิตติรัตน์" จ่อชงเคาะมาตรการแก้หนี้ประชาชน หนุนเลิกดอกเบี้ย Flat Rate ในธุรกิจลีสซิ่ง
ตลท.จัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ก้าวข้ามความท้าทายสู่โอกาสลงทุนใหม่ 27-29 ส.ค.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 91.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย.นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ธค. (เหลือลดดอกเบี้ยแค่ 2 ครั้ง) หลังจากประฐานเฟด แถลงในงานเสวนา Jackson Hole พร้อมด้วยท่าที ต่อนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย
"ทรัมป์" ขู่ปลด "ลิซา คุก" พ้นกรรมการเฟด หากไม่ยอมลาออก หาก ปธน.ทรัมป์สามารถปลดนางคุกออกจากตำแหน่ง เขาก็จะมีโอกาสปรับโครงสร้างคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด โดยสามารถแต่งตั้งผู้ที่มีแนวคิดสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เสียงข้างมากของคณะกรรมการฯ มีมุมมองที่สอดคล้องกับปธน.ทรัมป์ในด้านนโยบายการเงิน
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเตรียมสอบสวนนางคุก หลังถูกกล่าวหาว่าทำการฉ้อโกงด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย

หุ้นแนะนำวันนี้
WHA กระแสเงินลงทุนดาต้าเซนเตอร์ในไทยจากทั้ง GOOGL AWZ ฯลฯ กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง จากความชัดเจนเรื่องมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลตามข้อตกลงการค้าสหรัฐล่าสุด
แนวรับ 3.6 ต้าน 3.8 Stop loss 3.5

 

 

 

 

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

PR9 (Idea)
โรงพยาบาลพระรามเก้า
มุ่งทำ All-Time High ต่อใน 3Q25 จากคูเวตจะกลับมา
เราออก Idea Call หุ้น PR9 มองว่ากำลังเข้าสู่ช่วงที่โดดเด่น โดยใน 3Q25 คาดว่าจะทำ สถิติสูงสุดใหม่ (All-Time High) ทั้งรายได้และกำไรอีกครั้ง รายได้คาดที่ 1.3 พันล้านบาท (+10% YoY, +6% QoQ) แรงหนุนมาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติ เติบโตถึง +50% YoY ใน 3QTD โดยเฉพาะ Middle East ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูง ทำให้ภาพรวม margin ดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยไทยก็ทรงตัวได้แม้ฐานปีก่อนสูง นอกจากนี้ยังมี tax saving ราว 28 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เมื่อรวมทุกปัจจัย เราคาดกำไรสุทธิ 3Q25 จะอยู่ที่ 234 ล้านบาท (+12% YoY, +28% QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
อีกประเด็นสำคัญคือ ตลาดคูเวต ซึ่งหายไปตั้งแต่ปี 2024 ล่าสุดรัฐบาลคูเวตได้เชิญโรงพยาบาลไทย รวมถึง PR9 เข้าร่วมงาน “Rediscovering Health in Thailand” วันที่ 16–18 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการกลับมาของผู้ป่วยคูเวต หากเทียบกับประสบการณ์ของ BH ที่เคยมีรายได้จากคูเวตถึง 5% ของรายได้รวม หรือราว 1.3 พันล้านบาท คิดเป็น 2–3 เท่าของรายได้ Middle East ที่ PR9 ทำอยู่ในปัจจุบัน หากเทียบสัดส่วนที่ BH เคยทำได้ที่ 20% ของรายได้ชาว middle east ทั้งหมด มาเป็นตัวอย่างให้กับ PR9 จะมี upside ต่อรายได้ราว 3% และกำไรสุทธิ 4–5% ในปี 2026
Fundamental view: เราแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 30 บาท

BH
(Idea)
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ความกังวลกลุ่มคูเวตลดลง ทำให้ BH กลับมาน่าสนใจ
ต่อเนื่องจาก Idea Call PR9 ในวันนี้ เราก็ได้ออก Idea Call ของ BH ด้วย เพราะเชื่อว่า BH จะเป็นหนึ่งในรพ. ไทย ที่ถูกรับเลือกไปงาน “Rediscovering Health in Thailand” ของรัฐบาลคูเวตเช่นกัน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
เนื่องจากการเรียกประชุมในรอบนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเคลียร์ค่าใช้จ่ายที่เคยติดค้างกันไว้ แต่ยังรวมถึงการกลับมาของผู้ป่วยด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ ตลาดกังวลเกี่ยวกับลูกหนี้การค้าจากคูเวต ที่เคยสร้างความกังวลต่อการตั้งสำรอง แต่ผู้บริหารยืนยันว่ามี “ความมั่นใจเต็มที่” ในการจัดเก็บหนี้ และการที่รัฐบาลคูเวตกลับมามีส่วนร่วมกับกิจกรรมผ่านงานครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าโครงสร้างการส่งต่อผู้ป่วยกำลังกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งช่วยคลายความกังวลของตลาดลงได้อย่างมาก
เราได้ลองทำสมมติฐานว่า หากผู้ป่วยคูเวตกลับมา จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มราว 1.0–1.3 พันล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 4–5% ของรายได้ และหนุนกำไรสุทธิขึ้นได้อีก 5–7% เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตรากำไรสูง สำหรับปัจจัยหนุนในระยะสั้น แนวโน้ม 3Q25 เราคาดจะทำ All-Time High ต่อเนื่องเช่นกันที่ 2.0–2.1 พันล้านบาท โต 5–7% YoY และ 10–15% QoQ
Fundamental view: เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อที่ราคา 195 บาท

 

 

 


ADVICE
แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท
พลังส่งจากสินค้า Apple
ราคาหุ้น ADVICE ปรับขึ้นแล้ว 21% ตั้งแต่เราแนะนำ “ซื้อ” เมื่อ 6 มิ.ย. แต่ยังมีอัพไซด์ต่อ โดยสมาร์ทโฟนกลายเป็น Growth engine หลัก ทั้งจากการขยายสาขา iStore และยอดขายต่อสาขาที่สูงขึ้น เราคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ราว 6%
ยอดขาย ก.ค.–กลาง ส.ค. โต 17–18% YoY หนุนโดยยอดขายสมาร์ทโฟนที่พุ่งกว่า 2 เท่า (17% ของรายได้) Apple เป็นหัวหอกที่ 13% ของยอดขาย จากสถานะ “Authorized Reseller” ตั้งแต่ 3Q24 ทำให้ SSS ของร้านที่ขาย Apple ดีขึ้นอย่างชัดเจน ปัจจุบัน ADVICE มีสาขาที่ขาย Apple ได้ 80 แห่ง จากทั้งหมด 117 สาขา และวางแผนขยายการขาย iPhone รุ่น N-1 ผ่านร้านแฟรนไชส์ 237 แห่งใน 2H25 คาดว่ายอดขายสมาร์ทโฟนรวมจะโต 104% YoY ในปี 2025 และอีก 33% ในปี 2026
ธุรกิจ iStore ขยายตัวเร็ว ปัจจุบันเปิดแล้ว 8 สาขา ยอดขายเฉลี่ย 6–7 ลบ./เดือน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์คุ้มทุนมาก ยกเว้นเพียงสาขาสตูลที่ยังไม่ถึงเป้า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มอีก 14 สาขาใน 2H25 (รวมเป็น 22 สาขาสิ้นปี) และอีกกว่า 42 สาขาในปี 2026 รวมไม่น้อยกว่า 64 สาขา
เราปรับประมาณการกำไรหลักปี 2025–27 ขึ้น 7% ทุกปี จากคาดการณ์ยอดขายสมาร์ทโฟนที่สูงขึ้น ทำให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2025 ปรับขึ้นเป็น 6.50 บาท (เดิม 5.70 บาท) โดยใช้ PER 15 เท่า คาดกำไรหลักปี 2025 ที่ 270 ลบ. (+16% YoY) ใกล้เคียงกับการเติบโตของรายได้ ส่วน 3Q25 คาดกำไรโต YoY จากยอดขายสมาร์ทโฟน แต่ QoQ อาจทรงตัวจากค่าใช้จ่ายเปิดร้านใหม่
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมอง Valuation ปี 2025 PER 13.1 เท่า, ROE 28% และ Dividend yield ราว 6% เป็นจุดแข็งที่น่าสนใจ ขณะที่รายได้มีความชัดเจนต่อเนื่องถึงปี 2026

STA
(Visit Note)
ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี
ขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น
บริษัทมองปริมาณการขายใน 2H25 น้อยกว่า 1H25 เนื่องจากลูกค้าผู้ผลิตล้อยาง ยังมีสต๊อกสินค้าอยู่ โดยลูกค้ามีการสั่งซื้อวัตถุดิบยางไปสต๊อกตั้งแต่ปลายปี 2024 และ 1H25 ก่อนมาตรการภาษีการค้า นอกจากนี้ เชื่อว่าปริมาณยางธรรมชาติของไทยซึ่งเป็นวัตถุดิบจะมีออกมามากในช่วง 2H25 จากปริมาณน้ำฝนที่เอื้ออำนวยปริมาณน้ำยาง โดยราคายาง SICOM ช่วง 3QTD อยู่ในช่วง 160-170 เซนต์ต่อกก. ลดลงจาก ปี 2024 อยู่ที่ 174 เซนต์ต่อกก. ใน 1Q25 อยู่ที่ 197 เซนต์ต่อกก. ใน 2Q25 อยู่ที่ 168 เซนต์ต่อกก. โดยภาพรวมผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันการขายยางแท่งของ STA เนื่องจากลูกค้ายังมีสต๊อกยางล้อและวัตถุดิบ อยู่และเพื่อรอดูความชัดเจนของภาษีในรายละเอียดของแต่ละผลิตภัณฑ์ของยางล้อที่จะถูกจัดเก็บภาษีการค้า จึงคาดว่ายอดขาย STA จะหดตัวพร้อมมาร์จิ้นใน 3Q25
ในส่วน STGT ก็ได้รับแรงกดดันจากมาตรการภาษีการค้าเช่นกัน มีการปรับปริมาณการขายถุงมือยางทั้งปี 2025 จาก 42,000 ล้านชิ้น เป็น 40,000 ล้านชิ้น โดย 1H25 ขายได้ 18,282 ล้านชิ้น และคาดการณ์ปริมาณการขายใน 3Q25 และ 4Q25 ดีขึ้น QoQ อย่างไรก็ดี ราคาขายยังเป็นปัจจัยลบ เนื่องจากตลาดโลก oversupply และภาษีการค้าทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา โดยถุงมือยางจากจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐได้เนื่องจากฐานภาษีที่สูง นำสินค้าออกมาขายแข่งไปยังตลาดอื่นๆ
Our view: สำหรับ STA หุ้นขาดปัจจัยบวกในระยะสั้น อย่างไรก็ดี ตลาดคาดการณ์ Dividend yield ปี 2025 ไว้ที่ 6% ซึ่งอาจช่วยพยุงราคาหุ้นในช่วงที่กำไรมีแนวโน้มอ่อนตัว

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

Finance
เตรียมชงมาตรการแก้หนี้ประชาชน คิดดอกเบี้ยเช่าซื้อแบบ
“ลดต้นลดดอก”
ปัจจุบันผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อมีการระบุอัตราดอกเบี้ยแบบ “Effective Interest Rate:ลดต้นลดดอก” ในสัญญาเงินกู้ควบคู่กับอัตราดอกเบี้ยแบบ Flat rate ให้ลูกค้าอยู่แล้ว
View from fundamental: เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อประเด็นดังกล่าว โดยเราประเมินว่าลูกค้าในกลุ่มเช่าซื้อไม่ค่อยปิดบัญชีก่อนครบกำหนดสัญญาอยู่แล้ว และผู้ให้บริการสินเชื่อก็รับรู้รายได้ดอกเบี้ยแบบ EIR อยู่แล้ว

BJC
เบอร์ลี่ ยุคเกอร์
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
SSS ก.ค.-ส.ค.ยังอ่อนตัวลงเล็กน้อย3%จากกำลังซื้อ โดยเฉพาะกทม. และอีสาน (vs 2Q25 ลง3.2%) BigC อยู่ระหว่างนำระบบ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงานและเปลี่ยนมาใช้ DC ใหม่ที่บางปะอินแทนที่วังน้อยและธัญบุรี คาดทยอยเกิดผลบวกต้นปีหน้า
View from fundamental: ระยะสั้น SSS ของ BigCอ่อนแอ คาดจะกดดันกำไร3Q25 แค่ทรงตัว YoY แต่จะลง QoQตามฤดูกาล แนะนำเพียงถือ


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ถึงคิวโรงไฟฟ้า By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ ถึงคิวธีมหุ้นโรงไฟฟ้า รับประโยชน์บาทแข็ง ดอกเบี้ยส่อแววลด ....

LEO ร่วมงาน TILOG – LOGISTIX 2025 โชว์บริการโลจิสติกส์ครบวงจร

LEO ร่วมงาน TILOG – LOGISTIX 2025 โชว์บริการโลจิสติกส์ครบวงจร

SET และ APM เข้าเยี่ยมชมธุรกิจ บจก.เกษตรพัฒนาอุตสาหกรรม

SET และ APM เข้าเยี่ยมชมธุรกิจ บจก.เกษตรพัฒนาอุตสาหกรรม

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้