กำไร 2Q68 ดีเกิ๊น
TOP PICK PTT / BDMS / AMATA
EXTERNAL FACTOR
• ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวผันผวนในกรอบแคบ -0.08% ถึง +0.06% จากการรอสัญญาณความชัดเจนจากปัจจัยภายนอกที่ยังครุมเครือ 2 ปัจจัย คือ 1.การเจรจาสันติภาพสหรัฐฯ -รัสเซีย – ยูเครนที่ยังไม่มีข้อสรุป 2. การประชุม JACKSON HOLE
• ตลาดหุ้นยังผันผวนรอเลือกทิศทาง และทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งDOLLAR INDEX และ BOND YIELD สหรัฐฯ ในช่วงนี้ส่วนการประชุม FED 17 ก.ย.68 ทาง BLOOMBERG คาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยลง25 BPS. เหลือ 4.25%ด้วยความน่าจะเป็นสูงกว่า 84%
INTERNAL FACTOR
• สภาพัฒน์เผย GDP GRWOTH ไทย 2Q68 +2.8%YOY (สูงกว่าคาดที่ 2.7%YOY)และ +0.6%QOQ (สูงกว่าคาดที่ 0.5%QOQ) โดยมีแรงหนุนจากทุกหมวด
• นอกจากนี้ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.0% (1.8 –2.3%) เดิมคาด 1.8% (1.3 –2.3%)
• อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H68 ยังดูน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผลกระทบของนโยบาย RECIPROCAL TARIFF
• เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้มีความคาดหวังมาตรการภาครัฐเพิ่มเติม
INVESTMENT STRATEGY
• กำไรงวด 2Q68รายงานมาแล้ว 630 บริษัท 3.21 แสนล้านบาท (+18%QOQ, 25%YOY) ดีมาก เป็นไตรมาสที่กำไรสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ เป็นรองงวด 2Q22 ที่ 3.51 แสนล้านบาท หนุนกำไรช่วง 1H25 อยู่ที่5.93 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% ของประมาณการทั้งปี 25 ที่ 1.06 ล้านล้านบาท หรือ EPS 86 บาท/หุ้น
• หากเปรียบเทียบกับปี 2022 เดือน ส.ค. - ก.ย. 22 หลังประกาศกำไรไตรมาส 2 เสร็จสิ้น หุ้นไทยก็พลิกมาOUTPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลกมาก หรือขึ้นแรงกว่าตลาดหุ้นโลกถึง 14% กลยุทธ์แนะซื้อหุ้นสะสมช่วงตลาดย่อ SCC, SCGP, CK, STECON, ICHI, SPALI, BDMS, BH
ปัจจัยภายนอกยังครุมเครือ หนุนตลาดหุ้นยังผันผวนรอเลือกทิศทาง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวผันผวนในกรอบแคบ -0.08% ถึง +0.06% จากการรอสัญญาณความชัดเจนจากปัจจัยภายนอกที่ยังครุมเครือ 2 ปัจจัย ดังนี้
• การเจรจาสันติภาพสหรัฐฯ - รัสเซีย - ยูเครนที่ยังไม่มีข้อสรุป ประธานาธิบดียูเครน มีกำหนดพบปะกับผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำยุโรป เพื่อผลักดันข้อตกลงสันติภาพ หลังจากทรัมป์เพิ่งพบ ประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และตกลงกันว่าจะเดินหน้าเจรจาสันติภาพโดยไม่มีการหยุดยิง โดยหากสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังหาข้อสรุปที่พึงพอใจทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ทำให้ตลาดยังเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทางต่อไป
• การประชุม JACKSON HOLE ที่นักลงทุนจับตาในวันศุกร์นี้ โดย ประธาน FED และผู้กำหนดนโยบายคนอื่น ๆ จะหารือเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและกรอบนโยบายการเงิน ขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอดูว่าผู้สมัครประธาน FED รายใดจะชูจุดยืนผ่อนคลายมากขึ้นในการพิจารณาแต่งตั้งประธาน FED คนใหม่โดยรัฐบาลทรัมป์ซึ่งทาง BLOOMBERG ยังคาดว่าการลดดอกเบี้ย 25 BPS. จะเกิดขึ้นในการประชุม 17ก.ย.68 ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 84%
สรุป ปัจจัยภายนอกยังครุมเครือทั้ง 2 ประเด็นใหญ่ หนุนตลาดหุ้นยังผันผวนรอเลือกทิศทาง และทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยทั้ง DOLLAR INDEX และ BOND YIELD สหรัฐฯ ในช่วงนี้
เศรษฐกิจไทย 1H68 ทำไว้ดี แต่ 2H68 ดูน่ากังวล
วานนี้ สภาพัฒน์เผย GDP GRWOTH ไทย 2Q68 +2.8%YOY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.7%YOY) และ +0.6%QOQ(สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.5%QOQ) โดยมีแรงหนุนจากทุกหมวดทั้ง การบริโภคภาคเอกชน (+2.1%YOY), การลงทุนภาครัฐ (+10.1%YOY), การลงทุนเอกชน (4.1%YOY), การใช้จ่ายภาครัฐ (+2.2%YOY), การส่งออก (+12.2%YOY) ทำให้เศรษฐกิจไทย 1H68 ขยายตัว +3.0% ทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี
นอกจากนี้ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.0% (1.8 –2.3%) เดิมคาด 1.8% (1.3 –2.3%)ประเมินปัจจัยหนุนมาจากรายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลงทุน (G) การบริโภคขยายตัว (C) และการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นในช่วง 1H68 รวมถึงนโยบาย RECIPROCAL TARIFF ชัดเจนขึ้นอย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วง2H68 ยังดูน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะผลกระทบของนโยบาย RECIPROCAL TARIFFขณะที่ CONSENSUS คาดการณ์ GDP GROWTH ของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ อีกทั้งยังเห็นสัญญาณการส่งออกที่แผ่วลงของสิงค์โปรเดือน ก.ค. 68 ทรุดตัว -4.6%YOY หนักกว่าคาด
ท่ามกลางความเสี่ยงผลกระทบมาตรการภาษี รวมถึงภาระหนี้ภาคเอกชนสูง และภาคท่องเที่ยวชะลอตัว ภายใต้สมมติฐานของ สศช. เศรษฐกิจไทยใน 2H68 จะมีแนวโน้มขยายตัวได้แค่ 1% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ ธปท. ที่ 1.6%รวมถึงกรณีที่ GDP GROWTH ไทยนับตั้งแต่ 2H68 ไม่มีการขยายตัว QOQ จะทำให้เศรษฐกิจไทยเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนขยายตัว 1.5%YOY (3Q68 +1.7%, 4Q68 +1.3%) หากขยายตัวต่ำกว่าระดับนี้ อาจเห็นภาพของการติดลบ QOQ
เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้มีความคาดหวังแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐเพิ่มเติม ฝ่ายวิจัยฯแนะนำหุ้นพื้นฐานรับแรงหนุนเฉพาะเครื่องยนต์ขับเคลื่อน GDP แข็งแกร่ง อาทิ CK, STECON,TASCO, SCC, BEMหุ้นได้ประโยชน์นโยบายการเงินต้องช่วย อาทิ MTC, SAWAD, TILOR, ICHI, SPALIกำไร 2Q68 ดีมาก หาก SET ย่อน่าซื้อเพิ่มกำไรงวด 2Q68 รายงานมาแล้ว 630 บริษัท 3.21 แสนล้านบาท (+18%QOQ, 25%YOY) ดีมาก ซึ่งดีกว่าตลาดคาด
10%
และเป็นไตรมาสที่กำไรสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ เป็นรองงวด 2Q22 ที่ 3.51 แสนล้านบาท หนุนกำไรช่วง1H25 อยู่ที่ 5.93 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% ของประมาณการทั้งปี 25 ที่ 1.06 ล้านล้านบาท หรือ EPS 86บาท/หุ้น
หากเปรียบเทียบกับปี 2022 เดือน ส.ค. - ก.ย. 22 หลังประกาศกำไรไตรมาส 2 เสร็จสิ้น หุ้นไทยก็พลิกมาOUTPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลกมาก หรือขึ้นแรงกว่าตลาดหุ้นโลกถึง 14% กลยุทธ์แนะซื้อหุ้นสะสมช่วงตลาดย่อ SCC, SCGP, CK, STECON, ICHI, SPALI, BDMS, BH
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์