สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18 สิงหาคม 2568)------สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมำสที่สองของปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 โดยมีรำยละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2568
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2ในไตรมาสแรกของปี 2568 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2568ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี 2568 ร้อยละ 0.6 (%QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.0
ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐ และการส่งออก
บริการขยายตัวชะลอลง
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 2.1 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายใน หมวดบริการเป็นสำคัญ ในขณะที่การใช้จ่ายในหมวดอื่นเร่งตัวขึ้นโดยการใช้จ่ายในหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 1.1 ชะลอลงจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มบริการด้านขนส่งที่ขยายตัวร้อยละ 5.7และร้อยละ 3.6 ตามลำดับ ขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.9ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวเร่งขึ้นขอการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มการใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยยตัวร้อยละ 2.0 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สำหรับการใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ร้อยละ 6.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะที่กลับมาขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 10.7 การชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ระดับ 48.0 ลดลงจากระดับ 51.5 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.2 ชะลอลง การขยายตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของค่าตอบแทนแรงงานและค่ำซื้อสินค้าและบริการเป็นสำคัญ สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 22.5 (ต่ำกว่ำอัตรา
เบิกจ่ายร้อยละ 23.6ในไตราสก่อนหน้า และร้อยละ 31.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี 2568 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.3 ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.8
การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 5.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 4.1 สอดคล้องกับการกลับมาขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือร้อยละ 5.9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทั้งในหมวดยานยนต์หมวดอุตสาหกรรม และหมวดเครื่องใช้สำนักงาน ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลงติดต่อกัน
เป็นไตรมาสที่ 5 ร้อยละ 2.0 ตามการลดลงต่อเนื่องของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ
ขณะที่การก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้น สำหรับการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.1 ชะลอลงจากร้อยละ 26.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดก่อสสร้างขยายตัวร้อยละ 16.1ชะลอลงจากร้อยละ 33.7 ในไตรมาสก่อน ขณะที่การลงทุนใหมวดเครื่องจักรเครื่องมือปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ5 ไตรมาส ร้อยละ 8.1 สำหรับอัตรากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 13.5(สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 12.9 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่ำร้อยละ 21.5 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)รวมครึ่งแรกของปี 2568 กำรลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 5.2 โดยการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 1.4 และร้อยละ 17.5 ตามลำดับ
ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 84,171 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ร้อยละ 15.0 ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนสิ้นสุดช่วงผ่อนปรนอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้(Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ โดยดัชนีปริมาณการส่งออกขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 14.5 ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม สอดคล้องกับความต้องการสินค้า
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนดัชนีราคำสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น อาทิคอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 210.6) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 37.7)เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ17.8) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ร้อยละ 42.3) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยำนยนต์ (ร้อยละ 15.5) และยำง(ร้อยละ 4.3) กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง อาทิ ข้าว (ลดลงร้อยละ 34.1) ทุเรียน (ลดลงร้อยละ 5.7)รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 21.3) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ำ (ลดลงร้อยละ 14.4) และน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 15.9) การส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน อาเซียน(9) และสหภาพยุโรป (27) ขณะที่การส่งออกสินค้าไปยังตลาดออสเตรเลีย และซาอุดีอาระเบียลดลงต่อเนื่องส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า78,883 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 7.1ในไตรมาสก่อนหน้า ตามปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 ขณะที่ราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ส่งผลให้ดุลการค้ำเกินดุล 5.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (172.0 พันล้านบาท) ต่ำกว่าการเกินดุล 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (276.4 พันล้านบาท) ในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการขายส่งขายปลีกขยายตัวเร่งขึ้นส่วนสาขาเกษตรกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาก่อสร้าง และสาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า
สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้และการประมง ขยายตัวร้อยละ 6.0 ต่อเนื่องจากร้อยละ 6.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหมวดพืชผลสำคัญที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 ส่วนหมวดประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงครั้งแรกในรอบ 12 ไตรมาส ร้อยละ 1.0 ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) ข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 (2) กลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ18.5 (3) ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 (4) กุ้งขาว แวนนาไมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 และ (5) ไก่เนื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ บางรายการปรับตัวลดลงได้แก่ ยางพารา (ลดลงร้อยละ 5.1) สุกร (ลดลงร้อยละ 3.3) และมันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 3.8) ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 11.7 ตามการลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ได้แก่ (1) กลุ่มไม้ผลลดลงร้อยละ 27.5 (2) ข้าวเปลือกลดลงร้อยละ 13.0 และ (3) ยางพาราลดลงร้อยละ 16.1 การลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงครั้งแรกในรอบ 8ไตรมาส ร้อยละ 6.6 รวมครึ่งแรกของปี 2568 สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1
สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 1.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการเพิ่มขึ้นของกลุ่มการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 - 60 และกลุ่มการผลิตเพื่อการส่งออก เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การผลิตเพื่อบริโภคภำยในประเทศปรับตัวลดลง โดยกลุ่มการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 - 60 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 10.7) การผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ร้อยละ 8.8) และการผลิตน้ำตาล (ร้อยละ 12.2) ตามลำดับ และกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก(สัดส่วนการส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 4.6)การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ร้อยละ 2.7) และการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ร้อยละ 2.8) ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม กลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนการส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30)ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมำสที่ 3 การผลิตสินค้าสำคัญ ๆ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 2.4) การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ลดลงร้อยละ 11.4)
และการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน (ลดลงร้อยละ 1.2)ตามลำดับ สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.07 ต่ำกว่าร้อยละ 61.02ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 58.34ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2568 สาขาการผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 60.04
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 2.1 ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 7.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศและการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมีจำนวน 7.136 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ87.24 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19) ลดลงร้อยละ 12.2 ส่งผลให้มูลค่าบริการรับด้านการท่องเที่ยวอยู่ที่0.344 ล้านล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 93.56 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากร้อยละ 12.4 ในไตรมาสก่อน ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ไทยเที่ยวไทย)
มีจำนวน 69.63 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัวร้อยละ 2.1 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.303 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ5.4 ในไตรมาสก่อน ส่งผลให้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.647 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1ชะลอลงจากร้อยละ 13.7 ในไตรมาสก่อน สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 69.80ต่ำกว่ำร้อยละ 74.93 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่ำร้อยละ 69.92 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2568 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ 4.7
สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการขยายตัวของผลผลิตสีน้ำอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้า ประกอบกับการขายยานยนต์และการบำรุงรักษายานยนต์และจักรยานยนต์ขยายตัวต่อเนื่อง และมีทิศทางสอดคล้องกับการขยายตัวของดัชนีรวมการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ โดย (1) ดัชนีการขายส่ง (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (2) ดัชนีการขายปลีก (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์)เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 14.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และ (3) ดัชนีการขายส่งการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.3ในไตรมสก่อนหน้า รวมครึ่งแรกของปี 2568 สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4
สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ชะลอลงจากร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนตามการชะลอตัวของภาคบริการด้านการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ประกอบด้วย (1) บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียง เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ชะลอลงจากร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า (2) บริการขนส่งทางอากาศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 ชะลอลงจากร้อยละ 11.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และ (3) บริการขนส่งทางน้ำ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สำหรับบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9เร่งขึ้นจากร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เทียบกับร้อยละ 2.6ในไตรมาสก่อนหน้า รวมครึ่งแรกของปี 2568 สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8
สาขาการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 8.1 ชะลอลงจากร้อยละ 16.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการชะลอตัวของการก่อสร้างภาครัฐที่ขยายตัวร้อยละ 16.1 ชะลอลงจากร้อยละ 33.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะการชะลอตัวของการก่อสร้างของรัฐบาล ในขณะที่การก่อสร้างรัฐวิสาหกิจ ลดลงต่อเนื่อง และการก่อสร้างภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ร้อยละ 2.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการปรับตัวลดลงของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทุกประเภท ในขณะทีการก่อสร้างอาคารที่มิใช่ที่อยู่อาศัยกลับมาขยายตัวตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม รวมครึ่งแรกของปี 2568
สาขาการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 12.0 โดยการก่อสร้างภาครัฐขยายตัวร้อยละ 24.0 ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.8
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.91 สูงกว่าร้อยละ 0.89 ในไตรมาสก่อนแต่ต่ำกว่าร้อยละ 1.07 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสอยู่ที่ร้อยละ -0.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.0 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (17.1 พันล้านบาท) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 262.4พันล้านดอลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนำยน 2568 มีมูลค่าทั้งสิ้น 12.07 ล้านล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 64.2 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.8 – 2.3 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 2.0) ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงาจากภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคการเกษตร และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และกำรปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน
ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวร้อยละ 2.1 และร้อยละ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 5.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 – 0.5และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.1 ของ GDP
รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2568 ในด้านต่างๆ มีดังนี้
1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ชะลอลงจากร้อยละ 4.4 ในปี 2567 และปรับลดลงจากร้อยละ2.4 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัว ของรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและการลดลงของรายได้เกษตรกร ตามระดับราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปีก่อนหน้าใกล้เคียงกับร้อยละ 1.3ในการประมาณการครั้งก่อน
2. การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 0.0 ในปี 2567 และเป็นการปรับเพิ่มจากร้อยละ 0.9 ในการประมาณการครั้งก่อน โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ (-1.6) ในปีก่อนหน้า และเป็นการปรับเพิ่มจากการลดลงร้อยละ (-0.7)ในการประมาณการครั้งก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลจริงในครึ่งปีแรกที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ขณะที่ (2) การลงทุนภาครัฐคาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 5.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.8 ในปี 2567 แต่เป็นการปรับลดจากร้อยละ 5.5 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 2568 และการปรับสมมติฐานการจัดสรรงบประมาณ ภายใต้งบกลางรายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ชะลอลงจากร้อยละ 5.8 ในปี 2567 แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ1.8 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของมูลค่าการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวร้อยละ 15.0 อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจากอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และแนวโน้มำรชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อรวมกับการปรับลดการส่งออกบริการเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 5.1 ชะลอลงจากร้อยละ 7.8 ในปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.5 ในการประมาณการครั้งก่อน
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ1) การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯและมาตรการตอบโต้ของประเทศสำคัญ ประกอบด้วย
(1) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด อาทิ เครื่องโทรศัพท์ เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบยานยนต์และเครื่องปรับอากาศ โดยควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
(2) การยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rule of origin)เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ทางการค้า และลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกดำเนินมาตรการทางภาษีเพิ่มเติมโดยเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า(Certificate of Origin: C/O) และกระบวนการตรวจสอบและรับรองสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ (Regional Value Content: RVC) ให้มีประสิทธิภาพและไม่สร้างภาระต้นทุน
แก่ผู้ประกอบการเพิ่มเติม (3) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญ เพื่อลดผลกระทบจากการทะลักของสินค้านำเข้าโดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น และเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำ
ความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะการลักลอบการนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดน ควบคู่ไปการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้สามารถเข้าถึงกระบวนกการยื่นคำขอและไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้า (AD/CVD/AC) และ (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับกรอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
2) การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2566 – 2568 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมียอดขอรับการลงทุนสูงในช่วงที่ผ่านมา (2) การทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนผ่านรูปแบบการร่วมลงทุน (Joint Venture) และส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้และเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการไทย และลดความเสี่ยงจากการใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้า (Transshipment)พร้อมทั้งการทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยกำหนดเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบ (Local Content)การจ้างแรงงานภายในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น และ (3) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย รวมทั้งการเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น
3) การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง โดยมุ่งเน้น (1) การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคววมปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกการบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม (2) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภำพและมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และ (3) การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน
4) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation Loan) และการส่งเสริมสินเชื่อเครือข่ายธุรกิจเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ลูกหนี้โดยเฉพำะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEsได้รับความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นแนวทางในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ SMEs และการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs
5) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568ไม่ให้ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของกรอบงบลงทุนรวม โดยเร่งรัดกระบวนกำรจัดซื้อจัดจ้างและการก่อหนี้ผูกพันสัญญาโดยเฉพาะในโครงการที่สำคัญทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมดำเนินการโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็วเพื่อให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐมีความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเพื่อไม่ให้เสถียรภาพ
ทำงานการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป
6) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยเฉพาะในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมาก จนส่งผลต่อราคาและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับการวางแผนด้านการตลาด โดยการเพิ่มช่องทำงการจัดจำหน่ายและการชะลอผลผลิตเข้าสู่ตลาด ควบคู่ไปกับการเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจาากปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงปลายปี 2568 ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาอุทกภัย โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกรยกระดับประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเตือนภัย ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมรูปแบบและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศสำนักงานสภาพัฒน์