RBF : ประเด็นสำคัญจากการประชุมทางโทรศัพท์

• แม้ว่า RBF จะได้รับแรงหนุนจากยอดขายจากลูกค้าในรัสเซีย แต่ความท้าทายหลักคือต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นและกระบวนการที่ใช้เวลานาน (60-70 วัน) ลูกค้าได้ขอให้ RBF สร้างโรงงาน ขณะที่ RBF ยังคงลังเลที่จะผลักดันโครงการให้เดินหน้าต่อไปเนื่องจากความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกัน เราเห็นศักยภาพการเติบโตจากรัสเซียที่ลดลงเนื่องจากปัญหานี้ รัสเซียมีส่วนช่วยสร้างยอดขายประมาณ 12 ล้านบาทในช่วง 1H25F หรือคิดเป็น 1% ของยอดขายรวม

• มีลูกค้าใหม่จากจีนบางรายที่น่าจะผลักดันยอดขายกลับมาอยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาทในปี 2025F (เทียบกับ 15 ล้านบาทในช่วง 1H25A)

• คาดการณ์ว่ายอดขายในอินโดนีเซียและเวียดนามจะฟื้นตัวใน 3Q25 หลังจากมีการชี้แจงเรื่องภาษีศุลกากร สำหรับยอดขายในประเทศ การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังคงจำกัดอยู่เนื่องจากการบริโภคที่ซบเซา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเครื่องดื่มหลัก

• คาดว่าโรงงานในอินเดียจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายเดือนกันยายน 2025 และจะเริ่มรวมงบการเงินใน 4Q25F หลังจากปรับมติ

• โรงงานใหม่อยุธยา Plant A คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต.ค. 2025 และ Plant B (ได้รับสิทธิ BOI) จะเริ่มเดินเครื่องภายใน 4Q25 ส่งผลให้มีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นราว 40 ล้านบาทต่อปีในปี 2026F

• โดยรวมแล้ว ผู้บริหารคาดการณ์ว่าการเติบโตจะอยู่ในระดับ low single digit ในปี 2025F (เทียบกับ TISCOe ที่ -1%) เนื่องจากเรายังคงมีมุมมองเชิงลบต่อยอดขายในประเทศ ขณะที่การฟื้นตัวในช่วง 2H25F ยังคงเปราะบาง ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ "ถือ" สำหรับ RBF ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 4.20 บาท โดยยังไม่มีปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญใดๆ ในระหว่างนี้ เรายังเน้นย้ำว่าคู่แข่งรายใหญ่ ซึ่งได้ขยายกำลังการผลิต breadcrumb ใน 1Q25 แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ดังนั้น การแข่งขันด้านราคาจึงอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้