สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(15 สิงหาคม 2568)-----------สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน ก่อนจะย่อตัวลงช่วงท้ายสัปดาห์ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นแรงช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางแรงซื้อหลัก ๆ จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์เกี่ยวกับ
การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในรอบการประชุมเดือนก.ย. นี้ นอกจากนี้ดัชนีหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ในระหว่างสัปดาห์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ที่ตลาดมองว่า น่าจะได้รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันรายใหญ่แห่งหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ดี หลังจากดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 1,283.55 จุด ก็ย่อตัวลงในเวลาต่อมาจนถึงช่วงท้ายสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทสายการบินรายใหญ่แห่งหนึ่งที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้านี้ อนึ่ง นักลงทุนต่างชาติอยู่ในฝั่งขายสุทธิหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันมา 5 สัปดาห์
• ในวันศุกร์ที่ 15 ส.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.42 จุด เพิ่มขึ้น 0.03% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 58,442.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น6.52% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนีmai ลดลง 2.58% มาปิดที่ระดับ 248.42 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (18-22 ส.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,215 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด ตามลำดับ
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 ของไทย ถ้อยแถลงของประธานเฟดในการประชุมประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนส.ค. (เบื้องต้น) บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจ านวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนส.ค. ของจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ค. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนส.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ