Company Note
Asian Alliance International

กำไร 2Q25 ลดลง จากอัตราทำกำไรที่ลดลงจากผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งค่า

AAI ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 195 ล้านบาท (-35.1% YoY, -24.8% QoQ) โดยรายได้จากการขายและบริการรวม 1,705 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.7% YoY และลดลง 9.3% QoQ แม้ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้น 10.8% YoY แต่ได้รับแรงกดดันจากค่าเงิน USD ที่อ่อนค่ามากเมื่อเทียบกับบาท แบ่งเป็น 1) ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีรายได้ทรงตัวที่ 1,540 ล้านบาท (-0.1% YoY) เพราะผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10,525 ตัน (+13.0% YoY) 2) ธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกมีรายได้ 169 ล้านบาท (-11.6% YoY) และมีปริมาณขาย 1,166 ตัน (-5.6% YoY)

อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 15.8% จาก 25.7% ในปีก่อน และ 18.5% ในไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB แม้ว่าสัดส่วนยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง (ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า) จะเพิ่มขึ้น ต้นทุนปลาทูน่าลดลงเล็กน้อย QoQ แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้ในสกุล USD 60%, EUR 30%, THB 10% ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อมาร์จิ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (SG&A) อยู่ที่ 87 ล้านบาท หรือ 5.1% ของรายได้ ลดลงจาก 126 ล้านบาทในปีก่อน (-30.9% YoY) เพราะปีที่แล้วมีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุน JV ในจีน 30 ล้านบาท ค่าการตลาดและค่านายหน้าลดลงตามยอดขายเมื่อเทียบ QoQ ค่าใช้จ่ายลดลง 12.9% แต่สัดส่วนต่อรายได้ใกล้เคียงเดิม (5.1% เทียบกับ 5.3% ในไตรมาสก่อน) บริษัทรับรู้ขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยน 1 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไร FX ~12 ล้านบาทส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (NPM) 11.4% เทียบกับ 17.5% ในปีก่อน และ 13.8% ในไตรมาสก่อน

ไทยมีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำที่สุดที่ 19% เทียบกับผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่อย่างจีนและเวียดนาม เรามองว่าอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่ประกาศใหม่ อุตสาหกรรมส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยได้เปรียบในการแข่งขันรวมถึง AAI และคาดว่าผลกระทบปลายทางถึงผู้บริโภคเพียง 6-7% จากการคิดภาษีนำเข้าต้นทางขนส่ง FOB ไม่ใช่ราคาขายปลีก เราคาดภาระจะตกอยู่ทางผู้ผลิต ลูกค้า และผู้บริโภค โดยบริษัทมีแผนที่จะ support บางส่วนให้กับลูกค้า และภาระบางส่วนจะอยู่ผู้บริโภคผ่านการปรับราคาขายปลีก

ปรับประมาณการสะท้อนความชัดเจนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คาดกำไรปีนี้ลดลงและจะกลับมาดีขึ้นในปีหน้า แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังคาดว่าจะอ่อนตัวกว่าครึ่งปีแรก จากอัตราทำกำไรจะอ่อนตัวเทียบกับครึ่งปีแรกจากการช่วย support ลูกค้าจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่า เราปรับประมาณการปี 2025-26F สะท้อนความชัดเจนของภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คาดกำไรสุทธิปี 2025F-2026F อยู่ที่ 853 ล้านบาท (-15% YoY) และ 989 ล้านบาท (+16% YoY) คาด 1) ธุรกิจ Pet Food ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกับคู่ค้า บริษัทยังมีการออกสินค้าใหม่ Functional pet food ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น แต่ราคาขายเฉลี่ยลดลงจากการช่วยบรรเทาผลกระทบภาษีการนำเข้าสหรัฐฯกับคู่ค้า 2) ธุรกิจ Human Food คาดลดลง เนื่องจากตลาดหลักในตะวันออกกลางยังมีปัญหาความไม่สงบในภูมิภาค คาดอัตราทำกำไรลดลงอยู่ที่ 16.7% จากการช่วย support คู่ค้าด้านราคาขาย ราคาต้นทุนปลาทูน่าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปี 2024-25F ลดลงจากการลดค่าใช้จ่ายโฆษณาการทำการตลาด

เปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ขาย” ราคาเป้าหมายเป็นปี 2026 ที่ 4.70 บาท อ้างอิง PER -1SD ที่ 10X เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการยังต่ำกว่าปีก่อน จาก demand สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมียมที่ชะลอตัวทั่วโลก และผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แม้บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง (Net Cash) และคาดว่าเงินปันผลจะอยู่ที่ Dividend Yield’26F 4.9% ความเสี่ยงสำคัญยังคงเป็นรายได้ที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว