เฉียบ!!! ดอกเบี้ยลง กำไรดูหล่อหนุน SET
TOP PICK ERW / PTT / PLANB
EXTERNAL FACTOR
• ความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงยังคงกระแสต่อเนื่อง ล่าสุด SCOTT BESSENT รมว.คลังสหรัฐฯ แนะ FED ควรเปิดรับการลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ย. นี้
• หากย้อนไปดูข้อมูลในอดีต ในรอบการประชุมเดือน ก.ย. 67 FED เซอร์ไพร์สลดดอกเบี้ย 0.5% ก่อนที่เวลาต่อมา กนง. จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งช่วงดังกล่าว
(ราว 1 เดือน) SET INDEX ดีดตัวขึ้นราว 2.7%
• อีกประเด็นหนึ่ง กระแสจีนกระตุ้นเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง หลังจีนเผชิญภาวะสินเชื่ออ่อนแอ
INTERNAL FACTOR
• ส.ค. 68 มีคดีทางการเมืองไทยหลายคดีที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อทิศทางการเมืองของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญในพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร
• 1. คดี มาตรา 112 – ทักษิณ ชินวัตร2. คดีจริยธรรมร้ายแรง –แพทองธาร ชินวัตร3.คดีชั้น 14 – ทักษิณ ชินวัตรซึ่งคดีความทั้งหมด มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนัดศาลในช่วง ปลาย ส.ค.68-ต้น ก.ย.68 จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และมีโอกาสเห็นการไหลเข้าของ FUND FLOW
INVESTMENT STRATEGY
• ล่าสุดกำไร 2Q68F ดีมาก มีการรายงาน + PREVIEW 335 บริษัท (สัดส่วน MARKET CAP 83%ของทั้งหมด)อยู่ที่ 3.0 แสนล้านบาท (+23%QOQ, 25%YOY) ถ้าประกาศครบ กำไรงวด 2Q68 มีโอกาสขึ้นไปแตะ 3.5 –3.6แสนล้านบาท (สูงกว่าระดับปกติราว 2.5 แสนล้านบาทต่อไตรมาสมาก)
• หนุนกำไรปี 68 นี้ SET อาจมีกำไรส่วนเพิ่ม TOP UP กว่า 1 แสนล้านบาท (ราว 8 บาท/หุ้น)จากกำไรพิเศษGULF (ควบรวม INTUCH 5.6 หมื่นล้านบาท) + SCC (ปรับโครงส้าง CHANDRA ASRI 1.6 หมื่นล้านบาท) +THAI (คาดการกำไร 68F 2.8 หมื่นล้านบาท) หนุน PE68F ณ SET 1277 จุด ลดลงมาอยู่ที่ 13.5 เท่า
• แนะหุ้นดัก FUND FLOW กับ หุ้นใหญ่ปันผลสูง PTT, SCC, ADVANC หุ้นรับดอกเบี้ยขาลง MTC, KTC, ERW
ดอกเบี้ยขาลงมีแรงเสริม ผสมกับจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุน MOMENTUM บวกต่อตลาดหุ้น
ความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงยังคงกระแสต่อเนื่อง ล่าสุด SCOTT BESSENT รมว.คลังสหรัฐฯ แนะ FED ควรเปิดรับการลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ย. นี้ หลังข้อมูลการจ้างงานที่ปรับใหม่ในเดือน พ.ค. - มิ.ย. 68 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ขณะที่คาดการณ์ FEDWATCH TOOL เริ่มให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 6.3% (วานนี้ 0%) มองว่า FED จะลดดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมกลางเดือนหน้า หรืออาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ด้วยความน่าจะเป็นเกิน 50%หากย้อนไปดูข้อมูลในอดีต ในรอบการประชุมเดือน ก.ย. 67 FED เซอร์ไพร์สลดดอกเบี้ย 0.5% ก่อนที่เวลาต่อมากนง. จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งช่วงดังกล่าว (ราว 1 เดือน) SET INDEX ดีดตัวขึ้นราว 2.7%
อีกประเด็นหนึ่ง กระแสจีนกระตุ้นเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง หลังจีนเผชิญภาวะสินเชื่ออ่อนแอ โดยในเดือน ก.ค. 68 การขอสินเชื่อใหม่ ลดลงสุทธิ 49.9 พันล้านหยวน (เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 20 ปี) รวมถึงการปล่อยสินเชื่อแก่ครัวเรือนและธุรกิจยังลดลงชัดเจน
จีนประกาศมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดย 3 หน่วยงานรัฐเตรียมมอบเงินอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการบริโภคส่วนบุคคล สูงสุด 3,000 หยวนต่อคนต่อปี (ราว $417) มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย. 2025 ถึง 31 ส.ค. 2026ครอบคลุมเฉพาะสินเชื่อที่ใช้เพื่อการบริโภคจริงและยืนยันได้จากบัญชีโอนเงินกู้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังเปิดแผนร่วมกับอีก 8 หน่วยงาน เพื่ออุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ 8 กลุ่มธุรกิจบริการ ได้แก่ ร้านอาหารและที่พัก, สาธารณสุข, ดูแลผู้สูงอายุ, ดูแลเด็ก, บริการแม่บ้าน, วัฒนธรรมและบันเทิง, ท่องเที่ยว และกีฬา โดยเงินกู้ต้องปล่อยระหว่าง 16มี.ค.–31 ธ.ค. 2025 และใช้พัฒนาสาธารณูปโภคหรือเพิ่มศักยภาพการให้บริการ วงเงินกู้สูงสุดที่ได้รับอุดหนุนอยู่ที่1 ล้านหยวน ($140,000) ในอัตราอุดหนุนส่วนลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี (รัฐบาลกลางจ่าย 90% ส่วนจังหวัดจ่าย 10%)สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ในธีม CHINA PLAY อาทิ
• กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม และโลจิสติกส์ ได้แก่ AOT, SJWD, ERW, CENTEL, MINT, III
• กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ HANA, KCE, DELTA
• กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ AP, LH, SIRI ORI
• กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ SCC, SCGP
• กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้แก่ PTT, TOP, PTTGC, PTTEP, IVL
• กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CRC, BJC, CPALL
• กลุ่มยางพารา ได้แก่ NER, STA
• กลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ MTC, SAWAD, TIDLOR
นอกจากนี้ คืนที่ผ่านมา 11 โบรกเกอร์ปรับเป้า TENCENT ขึ้น แนะนำเก็งกำไร TENCENT01, TENCENT13,TENCENT19, TENCENT80
การเมืองไทยมีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น + การลดดอกเบี้ยของ กนง. หนุนเม็ดเงินยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคม 68 มีคดีทางการเมืองไทยหลายคดีที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อทิศทางการเมืองของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญในพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรได้แก่ นายทักษิณ และนางสาวแพทองธาร โดยมีรายละเอียดและวันนัดหมายของศาลดังนี้:
1. คดี มาตรา 112 – ทักษิณ ชินวัตร
▪ ข้อกล่าวหา : ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ถูกตีความว่าเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาไทย
▪ วันนัดศาล : 22 สิงหาคม 2568 – ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษา
▪ แนวทางที่คาดการณ์ได้:
▪ ไม่พบการกระทำผิดเข้าข่าย ม.112 (พ้นบ่วง)
▪ พบการกระทำผิดเข้าข่าย ม.112(ยื่นประกันตัว สู้ต่อศาลอุทธรณ์)
2. คดีจริยธรรมร้ายแรง – แพทองธาร ชินวัตร
▪ ข้อกล่าวหา : คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องจริยธรรมและผลประโยชน์ทับซ้อน
▪ วันนัดศาลรัฐธรรมนูญ : 29 สิงหาคม 2568
▪ แนวทางที่คาดการณ์ได้:
▪ ไม่เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง → ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อ
▪ เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง →พ้นจากตำแหน่งนายกฯ→ พรรคการเมืองเสนอชื่อนายกฯคนใหม่
3. คดีชั้น 14 – ทักษิณ ชินวัตร
▪ ข้อกล่าวหา : การเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าอาจได้รับสิทธิพิเศษเกินกว่าผู้ต้องขังทั่วไป โดยมีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายว่าการรักษาดังกล่าวมีความจำเป็นทางการแพทย์จริงหรือไม่
▪ วันนัดศาลฎีกา : 9 กันยายน 2568
▪ แนวทางที่คาดการณ์ได้:
▪ ป่วยจริงและขั้นตอนถูกต้อง (พ้นผิด)
▪ ป่วยจริงแต่ขั้นตอนไม่ถูกต้อง →อาจเอาผิดเฉพาะข้าราชการที่เกี่ยวข้อง หรืออาจให้เริ่มบังคับคดีใหม่ โดยคุณทักษิณกลับเข้าเรือนจำ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
• หากแพทองธารถูกถอดถอนหรือทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือยุบสภาได้
• หากศาลยกคำร้องทั้งหมด รัฐบาลชุดปัจจุบันอาจได้ไปต่อในรูปแบบ “ครม.แพทองธาร 2”ซึ่งประเด็นคดีความทั้งหมด มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนัดศาลในช่วง ปลาย ส.ค.68-ต้น ก.ย.68 จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และมีโอกาสเห็นการไหลเข้าของ FUND FLOW เพื่อดันดัชนีขึ้นได้ต่อจาก 1277 จุดในปัจจุบัน
ส่วนวานนี้ กนง. มีมติ เอกฉันท์ ลดอัตราดอกเบี้ยนยโยบาย 25 BPS. ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.50% โดย กนง. เห็นว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ช่วยภาคธุรกิจปรับตัว และบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
• มองเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2H68 มีแนวโน้มชะลอลงจาก 1H68 จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงต้องติดตามการเก็บภาษี TRANSSHIPMENT และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ยังมีแนวโน้มลดลง ตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น
• อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ จากปัจจัยด้านอุปทาน
• สินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะใน SMES และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน การปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. สู่ระดับ 1.5% ภายใต้สมติฐาน MEYG 4.5% และ EPS68F ที่86 บาท/หุ้น จะหนุนระดับ P/E ขึ้น 0.67 เท่า และดัน TARGET SET INDEX อาจขยับขึ้น 57 จุด จาก 1,376 จุด ไปอยู่ที่ 1,433 จุด ส่วนหุ้นได้รับ SENTIMENT เชิงบวก คือ กลุ่มเช่าซื้อ TIDLOR MTC SAWAD, กลุ่มปันผลสูง AP SPALISIRI SC PTT CPN ICHI, กลุ่มหุ้น NET DEBT CPALL MINT, หุ้นรับบาทอ่อน KCE ERW CENTEL CPF
ภาพรวมกำไรงวด 2Q68 ดูหล่อ และอาจเกิน 3 แสนล้านบาท (สูงกว่าระดับปกติมาก)กำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q68 รายงานออกมาแล้ว 247 บริษัท ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาด 13.2%
ฝ่ายวิจัยฯ รวบรวมข้อมูลกำไร 2Q68F ล่าสุด ออกมาดีมาก โดยมีการรายงาน + PREVIEW มาแล้ว335 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน MARKET CAP 83%ของทั้งหมด) อยู่ที่ 3.0 แสนล้านบาท (+23%QOQ, 25%YOY) ถ้าประกาศครบกำไรงวด 2Q68 มีโอกาสขึ้นไปแตะ 3.5 –3.6 แสนล้านบาท (สูงกว่าระดับปกติราว 2.5 แสนล้านบาทต่อไตรมาสมาก)
หนุนกำไรปี 68 นี้ SET อาจมีกำไรส่วนเพิ่ม TOP UP กว่า 1 แสนล้านบาท (ราว 8 บาท/หุ้น) จากกำไรพิเศษ GULF(ควบรวม INTUCH 5.6 หมื่นล้านบาท) + SCC (ปรับโครงส้าง CHANDRA ASRI 1.6 หมื่นล้านบาท) + THAI (คาดการกำไร 68F 2.8 หมื่นล้านบาท) หนุน PE68F ณ SET 1277 จุด ลดลงมาอยู่ที่ 13.5 เท่ากลยุทธ์แนะหุ้นดัก FUND FLOW กับ หุ้นใหญ่ปันผลสูง PTT, SCC, ADVANC หุ้นรับดอกเบี้ยขาลง MTC, KTC,ERW
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์