สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(13 สิงหาคม 2568)----------RBF รายได้และกำไรไตรมาส 2/2568 โตต่อเนื่องจากยอดขายในและต่างประเทศ เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมนำพลังงานทดแทนมาใช้ในกระบวนการผลิต ลุยขยายฐานการผลิตในเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย พร้อมใช้สิทธิประโยชน์ BOI หนุนการเติบโตระยะยาว
นายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิ 96.89 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 1,063.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.02 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงขับเคลื่อนหลักมาจากยอดขายที่เติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตลาดต่างประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.69 ล้านบาท หรือ 8.28% ขณะที่ตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น 15.33 ล้านบาท หรือ 1.88% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มวัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหารที่เพิ่มขึ้น 13.43 ล้านบาท หรือ 4.12% รองลงมาคือกลุ่มแป้งและซอสที่เติบโต 13.01 ล้านบาท หรือ 2.57% และกลุ่มผลิตภัณฑ์อบแห้งที่เพิ่มขึ้น 11.05 ล้านบาท หรือ 18.59%
นอกจากนี้ บริษัทสามารถรักษาและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 373.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.60% จากปีก่อน สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนการผลิต ตลอดจนการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขัน และวางรากฐานการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายสุรนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงก่อนหน้า และเชื่อมั่นว่าธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยประเมินจากแนวโน้มภาพรวมธุรกิจช่วงปลายปี ทั้งนี้บริษัทยังคงเดินหน้ากลยุทธ์กระจายฐานการผลิตไปยังหลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และ อินเดีย เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว พร้อมเสริมศักยภาพในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของนโยบายเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ให้บริษัทสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับการขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ ผ่านโรงงานแห่งใหม่ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และรอเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะการใช้สิทธิประโยชน์จากโครงการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อย่างเต็มที่ ช่วยยกระดับศักยภาพการผลิตและสนับสนุนการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน