Today’s NEWS FEED

News Feed

ฟิทช์คงอันดับเครดิต KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

73

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (8 สิงหาคม 2568 )-----บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

 

ถึงแม้ว่าอันดับเครดิตของบริษัทจะถูกจำกัดด้วยสถานะทางการตลาดและขนาดของบริษัทก็ตาม การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าสถานะทางการเงินของ KCE จะยังคงความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า KCE มีผลประกอบการที่มั่นคง และความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่สูง จากอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ และน่าจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวทางการเงินในการรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ KCE จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่าในปี 2570 จากการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ (โครงการโรจนะ)  ก่อนที่จะลดลง นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงค์จากแผนการใช้จ่ายลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

รายได้ที่ฟื้นตัวในปี 2569: ฟิทช์คาดว่า การปรับปรุงช่องทางจัดจำหน่ายและความต้องการที่คงที่สำหรับผลิตภัณฑ์ High-Density Interconnect (HDI) จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของยอดขายให้เติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 2 ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ารายได้จะปรับตัวลงประมาณร้อยละ 4 ในปี 2025 จากแรงกดดันจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ การเติบโตที่ชะลอตัวของภาคยานยนต์ และการแข็งค่าของสกุลเงินท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในรถยนต์ ซึ่งรวมไปถึงระบบ 5G, ระบบช่วยเหลือในการขับขี่แบบอัตโนมัติ (ADAS) และระบบตรวจจับแสงและวัดระยะ (LIDAR) จะช่วยสนับสนุนความต้องการของผลิตภัณฑ์แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ KCE  ในระยะกลาง

 

อัตราส่วนกำไรที่มั่นคง: ผลประกอบการณ์ของ KCE มีความมั่นคง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 16.9 ในปี 2567 จากร้อยละ 16.6 ในปี 2566 แม้จะเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ โดยมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจากการทดแทนแรงงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้จำนวนแรงงานที่ต้องจ้างลดลง การปรับสูตรเคมี และการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานได้ช่วยชดเชยผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มมากขึ้น และผลกระทบจากสกุลเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น

 

ฟิทช์คาดว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า EBITDA Margin ของบริษัทจะอยู่ในช่วงร้อยละ 16-18 โดยน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง รวมไปถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Utilisation Rate) และประโยชน์จากการเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่ายในยุโรปที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ

ความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมที่แข็งแกร่ง:  การที่ KCE ยังคงมีเงินสดมากกว่าหนี้สิน ณ สิ้นปี 2567 น่าจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการรองรับการลงทุนที่สูง ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage ของ KCE จะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.5 เท่าถึงแม้ว่า KCE จะตัดสินใจลงทุนในโครงการโรจนะในช่วง 2569 – 2570 โดยฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.0 เท่า ในปี 2571 จากการที่ KCE จะสามารถใช้เงินในการสนับสนุนการลงทุน จากกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจเดิม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่มาจากการลงทุนใหม่ดังกล่าวได้ นอกจากนี้ KCE ยังสามารถเลื่อนการลงทุนในโครงการโรจนะออกไปอีก ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมให้มากขึ้น

 

แผนการลงทุนที่ยืดหยุ่น: KCE มีแผนการลงทุนรวมจำนวน 9 พันล้านบาทในช่วงปี 2568-2570 ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโรงงานโรจนะ จำนวนประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งยังคงมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามความต้องการของผลิตภัณฑ์ในตลาด บริษัทได้เลื่อนการก่อสร้างโครงการโรจนะ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ มีกำลังการผลิต 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน ออกไปจาก 2568 เป็น 2569 เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด อย่างไรก็ตาม หาก KCE เลือกที่จะตัดสินใจลงทุนดังกล่าว ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจำนวนประมาณ 2.5 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนในเครื่องจักรและการสนับสนุนการผลิต ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากความต้องการผลิตภัณฑ์จริงในอนาคต อยู่ในระดับต่ำกว่าที่บริษัทคาด  ซึ่งความยืดหยุ่นดังกล่าวได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของบริษัท

 

ความแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรฯ รถยนต์: อันดับเครดิตของ KCE สะท้อนถึงการเป็นผหนึ่งในสิบผู้ผลิตอันดับแรกของโลกในธุรกิจผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีวงจรสินค้าที่ค่อนข้างยาว และต้องอาศัยความผูกพันกับลูกค้าในการได้มาซึ่งยอดขายทำให้เป็นธุรกิจที่มีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (High Barrier to Entry) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าบริโภคทั่วไป (Consumer Electronics)

 

โอกาสการเติบโตระยะยาว: ฟิทช์คาดว่าอุตสาหกรรมแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การขยายกำลังการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และการที่รถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาอันใกล้   อุปกรณ์ใหม่ในรถยนต์ เช่นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย และการช่วยเหลือในการขับขี่ และอุปกรณ์ด้านความบันเทิง ซึ่งมีอยู่ในรถยนต์ราคาแพง ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ระดับกลาง

 

การกระจุกตัวของรายได้ที่ลดลง: ความพยายามของ KCE ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้า HDI ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ จะช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายแผ่นพิมพ์วงจรจากลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกที่ประมาณร้อยละ 53 ในปี 2567 ซึ่งค่อยๆ ลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากประมาณร้อยละ 65 ในปี 2553

 

อัตรากำไรที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินบาท: ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวน   โดยในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก รายได้และกำไรจะลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณร้อยละ 85-95 ของรายได้ อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร  ในขณะที่ร้อยละ 50-60 ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

KCE และ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ต่างมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขายสินค้าคนละชนิด   EPG เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมด  

 

EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจและลูกค้าที่มากกว่า KCE โดย EPG มีการกระจายรายได้จากการผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม   KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA Margin และ กระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free Cash Flow Margin) ที่สูงกว่า ด้วยสถานะทางธุรกิจที่เทียบเคียงกันและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียว อันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทจึงเท่ากัน

 

KCE มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (SCGJWD, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) อยู่ที่ ‘bbb(tha)’ โดยสถานะทางธุรกิจของ KCE แข็งแกร่งกว่า SCGJWD เนื่องจากธุรกิจของ KCE มีการแข่งขันที่ต่ำกว่าสืบเนื่องมาจากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์ที่สูงกว่าอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์ของ SCGJWD นอกจากนี้ KCE ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า ส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGJWD อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตของ KCE สองอันดับ

 

อันดับของ SCGJWD ได้รับการปรับขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb(tha)’ เนื่องจากมีแรงจูงใจในการสนับสนุนระดับปานกลางจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

 

สถานะทางธุรกิจของ KCE อ่อนแอกว่าบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A (tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a(tha)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน   SCGP มีขนาดของรายได้และ EBITDA ที่ใหญ่กว่ามาก และยังเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่า KCE มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า ส่งผลให้ KCE ถูกจัดอันดับต่ำกว่า SCGP หนึ่งอันดับ

 

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • รายได้ยังคงลดลงร้อยละ 4 ต่อปี ในปี 2568 จากนั้นฟื้นตัวขึ้นที่ร้อยละ 2 ในปี 2569 และ 2570 (ปี 2567 ลดลงร้อยละ 9) จากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัว ขณะที่ความต้องการของแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกรดพิเศษ ยังคงแข็งแกร่ง
  • รายได้เติบโตร้อยละ 27 ต่อปี ในปี 2571 จากคำสั่งซื้อสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร HDI ซึ่งผลิตที่โรงงานโรจนะ
  • EBITDA Margin ตกลงต่ำสุดเป็นร้อยละ 16-17 ในปี 2568 โดยประมาณ (ร้อยละ 16.6 ในปี 2566) จากนั้นค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเป็นร้อยละ 18 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Capacity Utilisation) การเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง และมาตรการที่เพิ่มประสิทธิผลในการผลิต (Efficiency Improvement Measures)
  • แผนการใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด สำหรับโครงการโรจนะ และการปรับปรุงด้านเทคโนโลยี จำนวน 9.0 พันล้านบาท ในปี 2568-2570 (ปี 2567 จำนวน 415 ร้อยล้านบาท)
  • รักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) อยู่ในระดับที่ร้อยละ 80

 

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ

  • กระแสเงินสดที่ต่ำกว่าที่คาด หรือเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือมีการซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
  • EBITDA Margin ต่ำกว่าร้อยละ 13 อย่างต่อเนื่อง
  • สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ

 

ปัจจัยบวก

  • ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หาก KCE สามารถขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มการกระจายตัวของลูกค้าได้สำเร็จ

 

สภาพคล่อง

ณ สิ้นไตรมาสแรก ของปี 2568 KCE มีหนี้ทั้งหมดที่ 891 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 886 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เพื่อสนับสนุนการส่งออก จำนวน 821 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้รับการต่ออายุ    สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.2 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้เงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตน่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน

 

ข้อมูลบริษัท

KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยรายได้จากแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 84 ของรายได้แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของบริษัทฯ    KCE ส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2567 ร้อยละ 53 มาจากทวีปยุโรป ร้อยละ 21 จากทวีปอเมริกา และร้อยละ 26 จากทวีปเอเชีย

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

โหมดพักตัว By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มาอัพเดทข่าวสารในวันศุกร์ที่ 8 เดือน 8 ปี 68 หุ้นไทยในภาคเช้าที่ผ่านมา เข้าสู่โหมดพักตัว .....

IND ทำดีเพื่อสังคม มอบน้ำดื่ม 500 ขวด สนับสนุน "มูลนิธินวัตกรรมเพื่อชุมชน"

IND ทำดีเพื่อสังคม มอบน้ำดื่ม 500 ขวด สนับสนุน "มูลนิธินวัตกรรมเพื่อชุมชน"

PTG ส่ง "PT Service Volunteer" บริการเติมสุขถึงมือลูกค้า

PTG ส่ง "PT Service Volunteer" บริการเติมสุขถึงมือลูกค้า

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

หุ้นอินไซด์ ทอล์ค : PTG มุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้