วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเปิดตลาด ถึง +13 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1,255 จุด หลังจากสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทนไทย 19% ซึ่งเป็นปัจจัยที่ตลาดให้ควาสำคัญ แต่ดัชนีมีแรงขายในเวลาต่อมาเนื่องจากเป็นการ Sell on fact หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยดัชนีปรับตัวขึ้นจากจุดต่ าสุดเมื่อเดือนมิ.ย. 68 ราว +200 จุด ทำให้มีแรงขายออกมามากในภาคบ่าย ลบราว 25 จุด แรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน อิเล็กทรอกนิกส์ ค้าปลีก เป็นต้น ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,218.33 จุด -24.02 จุด-1.93% มูลค่าการซื้อขาย 54,586.68 ลบ. (ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี +1.18 จุด +0.10%) ProgramTrading -2,475.80 ลบ. ต่างชาติ -1,898.80 ลบ. TFEX -2,926 สัญญา ตราสารหนี้-2,205.27 ลบ

ปัจจัยบวก
+ นักลงทุนเพิ่มความคาดหวังว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย.โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่าความเป็นไปได้ที่ FED จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ได้เพิ่มขึ้นจาก 37.7% เป็น 86.5%
+ องค์การการบินพลเรือนของอิหร่าน (CAO) ประกาศยกเลิกข้อจำกัดในน่านฟ้าทั้งหมดแล้ว หลังมีการบังคับใช้ช่วงที่เกิดความขัดแย้งกับอิสราเอลเป็นเวลา 12 วันเมื่อเดือนมิ.ย.
+ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้อัตราภาษี 19% ที่สินค้าส่งออกไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ เป็นอัตราใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียนทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ยังคงแข่งขันได้ดี และต้องแสวงโอกาสในการเข้าไปทดแทนสินค้าส่งออกจากประเทศลาว เมียนมา และอินเดียที่ถูกจัดเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าไทย
+ กระทรวงพาณิชย์ยืนยันส่งออกปี 2568 คงเดิม ลุ้นเป้าส่งออกสรท.ขยายตัว 5-7%

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 542.40 จุด หรือ -1.23% ขณะที่ดัชนี S&P500 ดิ่งลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินคาดและการประกาศกำหนดภาษีน าเข้ารอบใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วงลง 1.93 ดอลลาร์ หรือ -2.79% ปิดที่67.33 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยถูกกดดันจากความกังวลว่าโอเปกและชาติพันธมิตรอาจเพิ่มการผลิต ขณะที่รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาดยิ่งเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมัน ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน547,000 บ าร์เรล/วัน ในเดือนก.ย. ซึ่งเ ราเชื่อว่าเป็นการ ตอบสนอ งที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้สูงเกินไป
- สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ ากว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 106,000 ตำแหน่งส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.1% ในเดือนมิ.ย.
- นายกรัฐมนตรีอินเดียเรียกร้องให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น
- ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียยังคงหวังที่จะเจรจาสันติภาพกับยูเครน แต่ขณะนี้รัสเซียกำลังมีความได้เปรียบในการทำสงคราม ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ปธน.ปูตินยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืน แม้สหรัฐกำหนดเส้นตายให้รัสเซียยุติสงครามยูเครนภายในวันที่ 8 ส.ค. มิฉะนั้นจะเผชิญการคว่ำบาตร

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก โดยมีแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หลังนโยบายภาษีน าเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ มีผลบังคับใช้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีที่ 1,210 -1,225 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
- เที่ยวไทยคนละครึ่ง : AWC MINT ERW CENTEL SHR
- หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ก.ล.ต.เตรียมเปิด Sandbox ให้ชาวต่างชาตินำคริปโตแลกเงินบาทนำมาใช้จ่ายธนาคาร KBANK SCB BAY โรงแรม MINT CENTEL ERW AWC สายการบิน AAV BA บันเทิง MAJORค้าปลีก CPALL CPAXT หุ้นคริปโต JTS BTC XPG ZIGA
- ได้รับผลกระทบเชิงลบจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา : CBG SAV
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาษีที่ต่ำกว่า 36% : AMATA WHA ROJNA TU ITC AAI HANA KCE DELTA