ภาพตลาดและแนวโน้ม
KEY FINDINGS:
โมเมนตัมการขยับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากการประชุม FOMC ที่ประธาน Fed ยังคงท่าทีระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยรอดูผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าต่ออัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโดยรวม
เครื่องมือชี้วัดด้าน Sentiment ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างมิกซ์ ระหว่างความคาดหวังเชิงบวกและความกังวลที่ก่อตัวขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาดในระยะสั้น
ส่วน BLS Greed & Fear Barometer สำหรับตลาดหุ้นไทยหลุดออกจากโซน Fear เข้าสู่โซน Neutral เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024
US MARKET SENTIMENT TRACKER:
CNN Fear & Greed ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากระดับ 77 คะแนนในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 66 คะแนนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการปรับจากโซน Extreme Greed กลับสู่โซน Greed ขณะที่ค่า Put/Call Option Ratio ปรับขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 0.61 ในวันที่ 3 ก.ค. ล่าสุดอยู่ที่ 0.67 สอดคล้องกับที่เราคาด และยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความกังวลของเทรดเดอร์จากความตึงตัวของตลาดหุ้น
ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII สะท้อนถึงมุมมองทั้งฝั่ง Bullish ของนักลงทุนต่อแนวโน้มตลาดในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและ Bearish ที่ลดลง โดยมุมมอง Bullish เพิ่มขึ้นจาก 36.8% เป็น 40.3% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 37.5%) ขณะที่มุมมอง Bearish ปรับลดลงจาก 34.0% เหลือ 33.0% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 31.0%) ส่งผลให้ Bull-Bear Spread ปรับเพิ่มขึ้น 4.5% สู่ระดับ 7.3% ส่วนผลสำรวจพิเศษของ AAII ในสัปดาห์นี้ สอบถามถึงมุมมองต่อระดับ Valuation ของหุ้น ณ ปัจจุบัน พบว่า 45.2% มองว่าหุ้นแพงเกินไป 13.4% มองว่าเหมาะสมแล้ว และ 37.6% มองว่ามิกซ์ คือมีทั้งหุ้นแพงและถูกปนกัน มีเพียง 1.5% ที่มองว่าหุ้นถูกเกินไป ส่วนที่เหลือไม่ออกความเห็น
THAI MARKET SENTIMENT TRACKER:
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้น 2.5% WoW สอดคล้องกับมาตรวัด BLS Greed & Fear Barometer ที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม จาก 45 เป็น 58 คะแนน และออกจากโซน Fear เข้าสู่โซน Neutral ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ธ.ค. 2024 องค์ประกอบย่อยปรับตัวดีขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Momentum Strength ที่ปรับขึ้นจาก +28 จุดเป็น +36 จุด ดัชนี Volume Index ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 จากโซนต่ำกว่า Lower-bound สู่ระดับ Mid-range รวมถึง Market Breadth ที่ฟื้นตัวได้ดีเช่นกัน สะท้อนแรงซื้อที่กระจายตัว ขณะที่ดัชนี Bull-to-Bear แกว่งตัวอยู่ในเหนือ Upper-bound ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3
IMPLICATION:
โมเมนตัมการปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มแผ่ว บรรยากาศการลงทุนเริ่มส่งสัญญาณมิกซ์ จากเครื่องมือชี้วัด Sentiment ที่ขัดแย้งกัน โดยความเชื่อมั่นนักลงทุนของ AAII ปรับตัวดีขึ้น แต่ดัชนี CNN Fear & Greed กลับลดความร้อนแรงลงจากโซน Extreme Greed ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น และอาจเข้าสู่วงจรการปรับฐานในระยะถัดไป
ส่วนตลาดหุ้นไทย BLS Greed & Fear Barometer หลุดออกจากโซน Fear เป็นครั้งแรกของปีถือเป็นสัญญาณเชิงบวก อย่างไรก็ดี การที่ดัชนี Bull-to-Bear ขยับขึ้นมาอยู่ในโซนบนสุดของช่วงการเคลื่อนไหว บ่งชี้ว่าโอกาสในการปรับขึ้นของตลาดในระยะสั้นอาจมีข้อจำกัด หากพิจารณาจากพฤติกรรมในอดีต ดัชนีนี้มักมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยเมื่อเกิดการเบี่ยงเบนมากเกินไป ทำให้ดัชนี SET อาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้านโซน 1250-1280 จุด
สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยกดไม่ลง แต่เริ่มเห็นการทำกำไรในกลุ่มที่เล่นขึ้นมาสูง เช่น AOT SCC SCGP เป็นต้น ขณะที่กลุ่มบวกพยุงตลาด เช่น DELTA ADVANC PTT KTB KBANK SCB TTB และที่ยังบวกแรง BH นอกจากนี้ พบกลุ่มอิง EPL ก็บวกดี ได้แก่ JAS MONO
แนวโน้มตลาดวันนี้
SET อาจไม่ดีใจ หลังชนแนวต้าน
กลยุทธ์คาดตลาดหุ้นไทยระยะสั้นมีโอกาสขึ้นผ่าน 1,250 จุด หลังทราบผลอัตราภาษีตอบโต้จากทางสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่เชื่อมโยงกับประเด็นดังกล่าว เช่น นิคมฯ อิเล็กทรอนิกส์ ส่งออก ฯลฯ หากหุ้นขึ้นรับข่าวนี้เราไม่แนะนำให้ไล่ซื้อ เพราะอาจจะมีแรงขาย Sell on fact ตามมาในระยะสั้น
และยังคงชะลอการเร่งซื้อหุ้นแบบเหมารวม/เคาะขวา ในโซนที่เกิน 1,250 จุดขึ้นไป โดยเราแนะนำให้เลือกซื้อ/ถือ หุ้นเป็นรายตัว เพื่อรอประเด็นความชัดเจนเรื่องถัดไป ตามไทม์ไลน์ การเมืองในประเทศที่เราเกริ่นไว้ในปัจจัยที่จะมีผลต่อบรรยากาศลงทุน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลาเป็นครั้งสุดท้ายให้นายก แพรทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” ซึ่งทั้ง 2 คดีที่รอคำตัดสิน คาดไม่ส่งผลบวกในระยะสั้นต่อ บรรยากาศลงทุนหุ้นไทย แต่ในระยะกลางถึงยาวคาดส่งผลดี เมื่อทุกอย่างชัดเจน
ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำ แตะเบรกเก็บกระสุนไว้รอความชัดเจนอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยเราจะยังถือหุ้นตามพอร์ตกลยุทธ์ไว้ก่อนและไม่เพิ่มการเก็งกำไรหุ้น (อาจแบ่งไม้ขายทำกำไรตาม รายงานกลยุทธ์ทางเทคนิคคอล)
กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ภาพรวมเดือนก.ค. SET Index ปิดที่ 1,242.35 จุด +13.5% MoM (ranking ที่ 1 ภูมิภาคเอเชีย) วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยกลับมาคึกคักที่ 4.6 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 6เดือน ภาพรวมดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,251 และจุดต่ำสุดที่ 1,086 จุด….ปิดสวย ปิดใกล้ high!
“สถานการณ์ปัจจุบัน” ดัขนีส่งสัญญาณฟื้นตัว เป็นเดือนแรกปิดเขียวแท่งใหญ่ call “Bullish Engulfing & Tweezer bottom” บ่งชี้จุดต่ำสุดผ่านพ้น! อย่างไรก็ตามภาพรวมยังเทรดอยู่ในโครงสร้างขาลง จบคลื่นขาลง “Wave5” จุดเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ จับตา RSI(month) recovery ฟื้นตัวเมื่อเข้าสู่เขต oversold เกิดขึ้นไม่บ่อย อาจเป็นจุดกลับตัวของ SET คล้ายปี Covid...
“ไฮไลท์” เราประเมินทิศทางตลาดจะปรับตัวขึ้นได้ในเดือนส.ค.นี้ หนุนจาก Fund flow ไหลเข้า สู่หุ้นใหญ่ กลุ่มพลังงาน ปิโตรและน้ำมันเป็นหลัด ช่วยผลักดันีให้ขึ้นสู่เป้าหมาย 1,270 (ด่านแรก) ถัดไป 1,300 แนวรับ 1,220 กรณีเงื่อนไขปิดความเสี่ยง ห้ามหลุด low ต่ำกว่า 1,200 จุด
กลยุทธ์เทคนิค: หุ้นแนะนำรายเดือน เน้นหุ้นใหญ่เพื่อรองรับกระแสเงินลงทุนไหลเข่า สแกนจาก pattern& momentum บ่งชี้จุดกลับตัวขาขึ้นรอบใหม่…หุ้นแนะนำประจำเดือน…ได้แก่ “PTT, IVL, BANPU’’
What to watch
ตลาดคาดหวังว่า จีน สหรัฐฯ จะสามารถตกลงขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค.
MSCI review คาดประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือน ส.ค.
มาตรการคว่ำบาตร รัสเซีย จากอียู และสหรัฐฯ เพิ่มเติมหลังสงครามรัสเซียยูเครนยังดำเนินต่อไป
ปฏิทินการเมืองในประเทศ คดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” ศาลฎีกานัดฟังคำสั่ง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. // ศาลรัฐธรรมนูญ อนุญาตให้ นายกแพรทองธาร ขยายเวลาชี้แจงข้อกล่าวหาปมคลิปเสียงเป็นครั้งสุดท้าย 4 ส.ค.นี้
หุ้นแนะนำวันนี้
BH แนวโน้ม Earnings downward revision เริ่มลดลง ช่วยจำกัดความเสี่ยงกำไรต่ำคาด แนวรับ 165 ต้าน 178 Stop loss 160
รายงานพื้นฐานวันนี้
Industrial Estate
ดีลภาษีสหรัฐฯ 19% ผ่อนคลายลง แต่หุ้นยังไม่น่าไปต่อ
สหรัฐฯ เคาะภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% ตามคาด ซึ่งดีกว่าเวียดนาม (20%) แต่ยังไม่ดึงดูดให้ไทยกลายเป็นทางเลือกหลักจากจีน เนื่องจากยังมีภาษี transshipment 40% ที่ลดแรงจูงใจในการย้ายฐานการผลิตขั้นสุดท้ายมายังไทยเพื่อเลี่ยงภาษีจีน และอัตราภาษีของจีนที่ยังไม่ประกาศชัดเจน อาจทำให้ส่วนต่างภาษีระหว่างไทย-จีนไม่สูงพอจะเร่งการย้ายฐานการผลิต
กลุ่มนิคมฯ ได้แรงหนุนจากการย้ายฐานจากจีน การลงทุน EV และ Data center ในช่วงที่ผ่านมา แต่แนวโน้มการเติบโตเริ่มชะลอ WHA และ AMATA คาดยอดขายที่ดินปี 2025 จะไม่สูงกว่าปีก่อน โดย 1H25 WHA ทำยอดขายได้ราวครึ่งหนึ่งของเป้าทั้งปี ส่วน AMATA ทำได้เพียงหนึ่งในสี่ของเป้าทั้งปี หากไม่มีดีลใหญ่ในครึ่งปีหลัง โอกาสเติบโตอาจถูกจำกัด ขณะที่ความตึงเครียดบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา อาจยิ่งกดดันความเชื่อมั่น FDI ใน 3Q25
AMATA คาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 416 ล้านบาท (+48% YoY, -50% QoQ) แม้การโอนที่ดินลดลง QoQ แต่ราคาขายและอัตรากำไรยังแข็งแกร่ง หนุนผลประกอบการ ขณะที่ 3Q25 คาดกำไร 575 ล้านบาท (+38% QoQ แต่ -20% YoY เพราะฐานสูงจาก 3Q24)
WHA คาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 1.35 พันล้านบาท (+6% YoY, -35% QoQ) ได้แรงหนุนจากการขายสินทรัพย์ให้ WHART (808 ล้านบาท) แต่การโอนที่ดินลดลง QoQ กดดันรายได้ ส่วน 3Q25 คาดกำไร 1.02 พันล้านบาท (+35% YoY, -24% QoQ จากไม่มีดีลขายสินทรัพย์)
Fundamental view: ราคาหุ้นสะท้อนข่าวดีด้านภาษีแล้ว โดย PER ปี 2026 ของ AMATA และ WHA อยู่ที่ 11x และ 12x ตามลำดับ มองวัฏจักรใกล้จุดสูงสุดแล้ว แนะนำขายทำกำไรเมื่อเกิดแรง รีบาวด์แรง โดยยังไม่มีปัจจัยใหม่ชัดเจนมาหนุนการ Re-rating
STECON
สเตคอน กรุ๊ป
เตรียมกลับมาสู่เรดาร์นักลงทุน
เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,173% YoY และ 68% QoQ จากการรับรู้เงินเคลมประกันโครงการบึงหนองบอน หักรายการพิเศษดังกล่าว คาดกำไรหลักจะอยู่ที่ 149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 491% YoY แต่ลดลง 56% QoQ (ไม่มีปันผล GULF ไตรมาสนี้) โดยเรายังรวมผลขาดทุนสายสีชมพู-เหลืองไว้ในประมาณการก่อน แต่หากดูเฉพาะส่วนธุรกิจรับเหมาฯ ผลประกอบการดีขึ้น อีกทั้งธุรกิจรับเหมาฯ ก็ดีทั้งรายได้และ GM ตอกย้ำผ่านพายุแล้ว
นอกจากนี้ หลังประกาศงบฯ คาดเห็นการปรับกำไรเพิ่มขึ้นเพื่อ Fine-tune ตัวเลขทั้งเงินเคลมประกัน, รายได้ และ GM และด้วย Backlog ปัจจุบันที่เป็นงานเอกชน ช่วยลดการพึ่งพาการประมูลงานภาครัฐ และ GM ดีด้วย แนวโน้ม Downside Risk ตอนนี้จึงต่ำกว่าอดีตสำหรับครึ่งปีหลัง สำหรับปัญหาเรื่องแรงงานกัมพูชา ใช้สัดส่วนเพียง 5% และปัจจุบันยังไม่พบความผิดปกติ รวมทั้งมีการลงทุนธุรกิจใหม่ที่อยู่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง น่าจะทำให้เห็นโอกาสการ Re-rating valuation ขึ้นไปได้จากนี้
Fundamental view: เราแนะนำเริ่มทยอยซื้อ รอบใหม่ ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท
THAI (Special Report)
การบินไทย
พร้อมเทคออฟอีกครั้งหลังฟื้นฟูกิจการ
THAI จะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 4 ส.ค. นี้ หลังฟื้นฟูกิจการ 5 ปี เรามองประเด็นสำคัญ ดังนี้
#1: ปรับโฉมฝูงบิน หนุนการเติบโตระยะยาว: บริษัทมีแผนลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 รุ่น เหลือ 4 รุ่น และเครื่องยนต์จาก 9 แบบ เหลือ 5 แบบ เพื่อประหยัดต้นทุน และโดยวางเป้าหมายเพิ่มฝูงบินจาก 78 ลำ (สิ้นมี.ค. 2025) เป็น 93 ลำในปี 2026 และ 137 ลำในปี 2029 เทียบเท่า CAGR ด้านกำลังการผลิต (ASK) ราว 14–17%
#2: ขยายเส้นทางบิน รองรับดีมานด์ระยะยาว: แม้ปีนี้นักท่องเที่ยวจะชะลอ แต่ IATA คาดผู้โดยสารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโตเร็วที่สุดในโลกช่วงปี 2023–2043 (CAGR 5.1%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 3.8% THAI มีแผนเพิ่มจุดหมายปลายทางจาก 63 แห่งใน 27 ประเทศ (1Q25) เป็น 94 แห่งในปี 2029 พร้อมมีพันธมิตร code-share เพิ่มจุดหมายปลายทางทางอ้อมเป็น 161 แห่ง
#3: การเงินหลังฟื้นฟูแข็งแกร่ง: ต้นทุนลดลง ส่งผลให้พลิกจากขาดทุนหลัก 1.61 หมื่นล้านบาทในปี 2019 เป็นกำไรหลัก 2.15 หมื่นล้านบาทในปี 2024 และ IBD/E ลดจาก 12.5x (สิ้นปี 2019) เหลือ 2.2x (สิ้นมี.ค. 2025) และมีเงินสดในมือ 1.25 แสนล้านบาท ณ สิ้นมี.ค. 2025 ทำให้พร้อมทั้งชำระหนี้และลงทุนตามแผน CAPEX ปี 2025–29
Tactical view: เราประมาณการและ Valuation เบื้องต้นเชิงกลยุทธ์ คาดกำไรหลักปี 2025 อยู่ในช่วง 1.8–2.5 หมื่นล้านบาท (±15% จากฐานปี 2024) โดยใช้วิธี PER 5–9 เท่า ให้กรอบมูลค่าพื้นฐานเบื้องต้นที่ 3.20–7.90 บาทต่อหุ้น หากอิง PER เทียบเคียงอุตสาหกรรมในประเทศ (8x) และภูมิภาค (9x)
ได้ราคาเป้าหมายที่เหมาะสมในเชิงกลยุทธ์ อยู่ที่ 5.50–6.80 บาท (มาร์เก็ตแคปประมาณ 1.55–1.94 แสนล้านบาท)
Risk: แรงกดดันจากราคาน้ำมัน ความผันผวนของค่าเงิน และแนวโน้มการเดินทางระหว่างประเทศเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา
รายงานผลประกอบการวันนี้
ITC
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น
(0) ITC รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 696 ล้านบาท ลดลง 31% YoY แต่เพิ่มขึ้น 2% QoQ หักรายการพิเศษกำไรหลักจะอยู่ที่ 712 ล้านบาท ลดลง 36% YoY แต่เพิ่มขึ้น 2% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.40 บาท คิดเป็น Div. yields 2.7% (เทียบเป็นทั้งปี 6.3%) แนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ ตามยอดขาย (รายละเอียดประเมินแนวโน้มกรณีภาษีต่างๆ ดูในรายงาน) เราอยู่ระหว่างปรับราคาเป้าหมาย
สรุปประเด็นจาก Quick take
SCC
ปูนซิเมนต์ไทย
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
แนวโน้ม 3Q25 ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีคาดว่าจะทรงตัว QoQ หนุนโดยการปิดโรงงานที่ต้นทุนสูง บริษัทจะกลับมาเริ่มดำเนินงานโรงงาน LSP (เวียดนาม) ในปลายเดือน ส.ค. นี้
View from fundamental: คาดการณ์ผลการดำเนินงานหลักที่ปรับตัวดีขึ้น YoY ใน 3Q25 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นต่อไป เราคงคำแนะนำ ซื้อ
CRC
เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น
มุมมองต่องบ 2Q25
ยอดขาย 2Q25 จะอ่อนตัว 2% YoY และ 11% QoQ ตาม SSS ที่หดตัวเร่งขึ้นเป็น 5% จาก 1Q25 ปรับลง 4% ธุรกิจพื้นที่เช่าและบริการ (4%ของยอดขาย) จะมีรายได้ลดลง 3% YoY และ 1% QoQ เพราะมีบางสาขาอยู่ปรับปรุงพื้นที่และมีรายได้ค่าสาธารณูปโภคลดลง
View from fundamental: เราคาดกำไรหลัก 2Q25 ที่ 1.42 พัน ลบ. ปรับลง 3% YoY และ 42% QoQ ทั้งนี้ ทิศทาง SSS เดือน ก.ค.ที่ยังติดลบ 4% ประกอบกับการท่องเที่ยวที่ยังดูชะลอ เราจึงคงคำแนะนำ ขาย
Utilities
ค่าไฟงวด ก.ย.–ธ.ค. ลดเหลือ 3.94 บาท/หน่วย
เบื้องต้นคาดว่า BGRIM มี downside ต่อประมาณการกำไรหลักปี 2025 ราว 1.4% GPSC มี downside ต่อประมาณการกำไรหลักปี 2025 ของเรา 1.3%
View from fundamental: แม้การลดค่าไฟครั้งนี้จะใช้เงินชั่วคราวจากการเรียกคืนผลประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน แต่ก็อาจสร้างความกังวลต่อตลาดว่ารัฐบาลจะพยายามตรึงค่าไฟไว้ไม่เกิน 3.94 บาทในปี 2026 ด้วย เรามองว่าข่าวนี้น่าจะสร้าง Negative sentiment ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อย่าง BGRIM และ GPSC แม้ว่า downside risk ต่อกำไรปี 2025 จะอยู่ในระดับจำกัดก็ตาม
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน