Today’s NEWS FEED

News Feed

SCB EIC TILES INDUSTRY ANALYSIS AND OUTLOOK แนวโน้มอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง

433

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(30 กรกฎาคม 2568)---------KEY SUMMARY

ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศในปี 2025 มีแนวโน้มหดตัว 2.4%YOY ขณะที่ราคาโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 152 บาท/ตารางเมตร (-0.5%YOY)
การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มหดตัวในปี 2025 ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยในปี 2025 มีแนวโน้มหดตัวจากปี 2024 ไปอยู่ที่ประมาณ 191.8 ล้านตารางเมตร (-2.4%YOY) โดยยังมีการใช้งานเพื่อปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทั้งนี้ราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 152 บาทต่อตารางเมตร (-0.5%YOY) จากแนวโน้มต้นทุนราคาพลังงานที่ลดต่ำลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบการผลิตประเภทสินแร่ และเคมีภัณฑ์ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง

ในปี 2025 อุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย ยังต้องเผชิญความท้าทายจากกระเบื้องราคาถูกจากจีน และเวียดนามเข้ามาตีตลาด

กระเบื้องนำเข้าจากจีนและเวียดนามส่วนใหญ่เป็นกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass product) ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยถูกกว่าราคากระเบื้องที่ผลิตในประเทศไทยประมาณ 6-10% ส่งผลให้มีการนำกระเบื้องจากทั้งสองประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงปี 2020-2024 เฉลี่ยปีละประมาณ 40 ล้านตารางเมตร (+2.7CAGR) จนสามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้กระเบื้องปูพื้น-บุผนังจากต่างประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกันกับไทย อาทิ จากจีน, เวียดนาม และอินเดีย มีความเสี่ยงที่จะถูกระบายเข้ามายังไทยเพิ่มมากขึ้นในปี 2025 ด้วยเช่นกัน

การสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องคุณสมบัติพิเศษที่มีคุณภาพสูง จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนัง และช่วยประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้า


การมุ่งแข่งขันด้านราคาของกระเบื้องกลุ่มแมส ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกระเบื้องปูพื้น-บุผนังลดลงไปพร้อมกับอัตรากำไรที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสินค้าให้มีความโดดเด่น มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภค เช่น กระเบื้องป้องกันรอยขีดข่วน และทำความสะอาดง่ายเพื่อตอบโจทย์บ้านที่มีสัตว์เลี้ยง การพัฒนาสินค้าเกรดพรีเมียมเพื่อเจาะตลาดที่มีกำลังซื้อสูง จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตได้ ประกอบกับการนำพลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกระบวนการผลิตในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ยังช่วยให้ต้นทุนด้านพลังงานของผู้ผลิตลดลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้าที่มาตีตลาด

 

Industry overview


ไทยมีการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2020-2024 ประมาณ 120 ล้านตารางเมตร/ปี จากกำลังการผลิตรวมทั้งหมดประมาณ 200 ล้านตารางเมตร/ปี โดยสัดส่วนกว่า 95% ของปริมาณการผลิตเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีความต้องการจากผู้ใช้งานกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างของภาคเอกชน ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการที่พักอาศัย ซึ่งเป็นอุปสงค์หลักของการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศ, กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารของภาครัฐ, รวมถึงยังมีการใช้กระเบื้องปูพื้น-บุผนังในการปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่เชิงพาณิชย์ และที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน ขณะที่สัดส่วนอีกราว 5% เป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยตลาดที่สำคัญ ได้แก่ เมียนมา, ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีปริมาณการส่งออกจากไทยไปมากที่สุด 3 อันดับแรก


ทั้งนี้โครงสร้างต้นทุนการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังส่วนใหญ่ราวครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ ดิน, หินบด, แร่, สี และสารเคมีองค์ประกอบ ที่มาจากการจัดซื้อจากทั้งในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ สัดส่วนราว 15% เป็นต้นทุนพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบโลก สำหรับต้นทุนแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 13% และสัดส่วนที่เหลืออีกราว 23% เป็นต้นทุนอื่น ๆ อาทิ ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร และค่าบริการที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) (SCGD), บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) และบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) ซึ่งมีการแข่งขันกันในด้านการผลิต และการพัฒนาสินค้าตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความหลากหลาย อาทิ กระเบื้องเกรดพรีเมียม (Premium product) กระเบื้องพอซ์เลน (Porcelain) กระเบื้องเกรดปานกลาง (Mid segment) และกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass products) ผ่านช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุม ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย (Dealer), ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade), เครือข่ายร้านค้าที่เป็นเป็นสาขาของบริษัท และการจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งผู้รับเหมาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างขนาดเล็กทั่วประเทศ


Industry outlook and trend

ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังในประเทศปี 2025 มีแนวโน้มหดตัว 2.4%YOY โดยมีปัจจัยกดดันจากมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนที่หดตัว เป็นผลมาจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้งานกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยในปี 2025 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 191.8 ล้านตารางเมตร (-2.4%YOY) โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องจากปี 2024 ที่ปริมาณการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังลดลงจากปีก่อนหน้า จากสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสมที่อยู่อาศัยยังอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องจากในอดีต ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลง อย่างไรก็ดี ยังมีการใช้งานเพื่อปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, พื้นที่ค้าปลีก และโครงการ Mixed-use และ Community mall รวมถึงการปรับปรุงที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา แต่อุปสงค์การใช้งานเพื่อการปรับปรุงที่พักอาศัยของครัวเรือนยังเป็นไปอย่างจำกัดจากความระมัดระวังด้านการใช้จ่ายมากขึ้น

 


ราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 4.8%CAGR ในช่วงปี 2021-2024 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบบางประเภท เช่น แร่เฟลสปาร์ หรือสารเคลือบผิว ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อมาใช้งาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า ประกอบกับค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งกระทบกับต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น สำหรับในปี 2025 ราคากระเบื้องปูพื้น-บุผนัง มีแนวโน้มลดลงจากปี 2024 เล็กน้อย โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 152 บาทต่อตารางเมตร หรือลดลง 0.5%YOY จากแนวโน้มต้นทุนพลังงาน ทั้งราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้าที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบการผลิตประเภทสินแร่และเคมีภัณฑ์ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง

 

อุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย ยังคงมีปัจจัยกดดันจากการเข้ามาตีตลาดของกระเบื้องนำเข้าจากต่างประเทศ กระเบื้องจากต่างประเทศถูกนำเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2020-2024 เฉลี่ยปีละประมาณ 60 ล้านตารางเมตร (+3.0%CAGR) โดยอุปทานกระเบื้องนำเข้าในปี 2024 ที่มีสัดส่วนประมาณ 30% ของอุปทานกระเบื้องทั้งหมดในประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่มีสัดส่วนอุปทานกระเบื้องนำเข้าอยู่ประมาณ 25% โดยเฉพาะกระเบื้องที่นำเข้ามาจากจีน และเวียดนาม ซึ่งมีราคาโดยเฉลี่ยถูกกว่าราคากระเบื้องที่ผลิตในประเทศไทยประมาณ 6-10% จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะกระเบื้องกลุ่มแมส (Mass product) ที่สามารถทดแทนการใช้งานกระเบื้องที่ผลิตในไทยได้ โดยมีการนำกระเบื้องจากทั้งสองประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงปี 2020-2024 เฉลี่ยปีละประมาณ 40 ล้านตารางเมตร (+2.7CAGR) จนสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 คาดว่าจะยังคงถูกนำเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มีการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการระบายสินค้ามายังไทยมากขึ้น เนื่องจากทั้งจีน และเวียดนามต่างเป็นผู้ส่งออกกระเบื้องปูพื้น-บุผนังรายสำคัญไปยังสหรัฐอเมริกา รวมถึงความเสี่ยงที่กระเบื้องจากอินเดีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศผู้ส่งออกกระเบื้องที่สำคัญไปยังสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย และราคาสินค้าต่างจากจีนและเวียดนามไม่มาก ก็มีแนวโน้มการระบายสินค้ากระเบื้องปูพื้น-บุผนังมายังประเทศไทยมากขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญให้ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวางแผนการตลาดเพื่อแข่งขันกับกระเบื้องนำเข้าดังกล่าว

 

การสร้างความแตกต่างเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่น (Product differentiation) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องคุณสมบัติพิเศษที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อควบคุมต้นทุนจะช่วยเสริมศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันแก่ผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทย และช่วยประคองธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันของกระเบื้องนำเข้า การแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดกระเบื้องกลุ่มแมสในปัจจุบัน ทั้งการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตในประเทศ และการแข่งขันกับกระเบื้องราคาถูกจากต่างประเทศที่กำลังทะลักเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ประกอบกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่ทำให้เกิดความต้องการใช้งานกระเบื้องที่ทนต่อการขีดข่วน และเช็ดทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ โดยการพัฒนากระเบื้องเกรดพรีเมียม จะเพิ่มโอกาสในการเจาะตลาดการก่อสร้างโครงการเชิงพาณิชย์ระดับบนขึ้นไป ทั้งโรงแรมห้าดาว อาคารสำนักงานเกรด A และ A+ และศูนย์การค้าชั้นนำ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง-สูง ขึ้นไปถึง Luxury ทั้งบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการเหล่านี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความโดดเด่นของวัสดุก่อสร้าง รวมถึงมีมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อโครงการค่อนข้างสูง อีกทั้ง ผู้ผลิตสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคากับตลาดกระเบื้องกลุ่มแมส และสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้

 

นอกจากนี้ การที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมักให้ความสำคัญกับคุณภาพ การออกแบบ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มากกว่าการมองหาสินค้าราคาถูก จะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตที่มีผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม มีโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ หรือกำหนด Positioning ที่ชัดเจน รวมถึงสามารถขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่ต้องการสินค้ากลุ่มดังกล่าว โดยกระเบื้องเกรด
พรีเมียม อาทิ กระเบื้องลายหินอ่อนเกรดพรีเมียม (Marble-look Porcelain), กระเบื้องขนาดใหญ่พิเศษ (Large-format Tiles), กระเบื้องผิวด้านลายไม้ (Matte Wood-look Tiles), กระเบื้อง 3D ผนังตกแต่ง (3D Decorative Wall Tiles), กระเบื้องกันเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial Tiles) เช็ดทำความสะอาดง่าย และทนต่อรอยขีดข่วนของสัตว์เลี้ยง รวมถึงกระเบื้องบางพิเศษ (Thin & Lightweight Tiles) จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตได้ในตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคได้


ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังของไทยเพื่อให้บรรลุกรอบเป้าหมายความเป็นกลางคาร์บอน ทำให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในกระบวนการผลิต ได้แก่ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, พลังงานชีวมวล และพลังงานความร้อนทิ้ง (Waste heat recovery) เพื่อนำไอร้อนจากเตาเผากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการผลิต ส่งผลให้รายจ่ายด้านต้นทุนพลังงานของผู้ประกอบการลดลง ประกอบกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทำการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์กระเบื้องคุณสมบัติพิเศษ และกระเบื้องพรีเมียม ที่มีราคาขายและอัตรากำไรสูง จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถรักษาอัตรากำไรได้ สะท้อนจากอัตราส่วน EBITDA margin ของผู้ผลิตกระเบื้องปูพื้น-บุผนังที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2024 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 17.6% จากที่อยู่ประมาณ 16.0% ในปี 2023

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ลุ้น หวยออก By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ลุ้น หวยออก ระหว่างรอ ครม. ระหว่างรอผลประชุม เฟด เงินบาทแข็งค่า.....

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

ATLAS ผนึก PTG เปิดสถานี 'PT Max Rest นครชัยศรี 11' ใหญ่ที่สุดในไทย รองรับไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคใหม่

มัลติมีเดีย

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

PTG × ATLAS ร่วมกันเปิดปั๊มแลนด์มาร์กใหม่ “PT Max Rest นครชัยศรี 11”

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้