หวังต่างชาติซื้อแล้ว ซื้ออยู่ ซื้อต่อ
TOP PICK BDMS / CK / MTC
EXTERNAL FACTOR
• วานนี้ IMF เผยรายงาน WORLD ECONOMIC OUTLOOK เดือน ก.ค. 68 โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกนี้โต 3.0% (เดิมคาด 2.8%) และปีหน้าโต 3.1% (เดิมคาด 3.0%)
• กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย (EM) ถูกปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ขึ้นค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ด้วยปัจจัยกระตุ้นหลักๆ จากกิจกรรมเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งในช่วง 1H68 และการลดภาษีศุลกากรระหว่างจีน-สหรัฐฯ จึงค่าว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญต่อ FUND FLOW ให้ไหลเข้าเอเชียมากขึ้น
INTERNAL FACTOR
• ดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจคงในการประชุมวันนี้ แต่ดอกเบี้ยไทยมีโอกาสลงในการประชุมรอบ ส.ค.68 ตามกลไลทางการเงินอาจนำไปสู่ค่าเงินบาทที่โอกาสอ่อนค่าลงบ้างจากโซนปัจจุบัน
• แม้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลง แต่ SET มักไม่ได้ปรับตัวลงเสมอไป สังเกตปีที่ SETOUTPERFORM ตลาดหุ้นโลก มักจะเป็นปีที่บาทอ่อนค่า โดยเฉพาะปีที่บาทอ่อนค่าน้อยกว่าการแข็งค่าของ DOLLAR INDEX อย่างปี 2001, 2014 และปี 2022 เป็นต้นเนื่องจากนักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงมาลงทุนในไทยมากขึ้น ขณะที่ครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มเป็นแบบนี้เช่นกัน
INVESTMENT STRATEGY
• FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อ 1.เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และไทยเพิ่มเติม จาก IMF มีการปรับเป้า GDP โลกขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเซีย รวมถึงไทยที่ถูกปรับ GDP ขึ้นจาก 1.8% เป็น 2% 2.MOMENTUM เม็ดเงินในช่วงนี้เอนเอียงไปที่หุ้น VALUE โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน ถือเป็นบวกต่อหุ้นไทย 3. FUNDFLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อในเดือน ส.ค. คือ หุ้นไทยมีโอกาสถูกปรับเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI (ประกาศ12 ส.ค.) และ FTSE (ประกาศ 22 ส.ค.) หลังจากหุ้นไทยในเดือนที่ผ่านมา +13.3% ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก +1.9%
• แนะนำ 10 หุ้นที่ต่างชาติซื้อเยอะสุดในรอบ 15 วัน AOT, CPALL, KTC, KBANK, SCC, BBL, CPN,ADVANC, TOP, CPF
IMF ปรับเป้า GDP โลกดีขึ้น
วานนี้ IMF เผยรายงาน WORLD ECONOMIC OUTLOOK เดือน ก.ค. 68 โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไว้ดังนี้
• โลก คาดปีนี้โต 3.0% (เดิมคาด 2.8%) และปีหน้าโต 3.1% (เดิมคาด 3.0%)
• US คาดปีนี้โต 1.9% (เดิมคาด 1.8%) และปีหน้าโต 2.0% (เดิมคาด 1.7%)
• จีน คาดปีนี้โต 4.8% (เดิมคาด 4.0%) และปีหน้าโต 4.2% (เดิมคาด 3.0%)
• ไทย คาดปีนี้โต 2.0% (เดิมคาด 1.8%) และปีหน้าโต 1.7% (เดิมคาด 1.6%)
IMF ประเมินว่าหลายประเทศต่างเร่งซื้อสินค้ามากกว่าที่คาดไว้ ก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1ส.ค. 68 และการที่อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐ (EFFECTIVE U.S. TARIFF RATE) ลดลงจากระดับ 24.4%สู่ระดับ 17.3%
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย (EM) ถูกปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ขึ้นค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ด้วยปัจจัยกระตุ้นหลักๆ จากกิจกรรมเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งในช่วง 1H68 และการลดภาษีศุลกากรระหว่างจีน-สหรัฐฯ จึงค่าว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญต่อ FUND FLOW ให้ไหลเข้าเอเชียมากขึ้น
ดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจคง แต่ดอกเบี้ยไทยลงนะ ... ชอบหุ้นเด่นรับเงินบาทอ่อนค่า
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง(RETAIL SALES, NONFARM PAYROLL) บวกกับความกังวลอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก TRADE TARIFF 2.0 ที่เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค.68 ทำให้ตลาดยังคาดว่า FED จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมเพื่อดูสถานการณ์อีกครั้ง อ้างอิงจาก FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่FED
จะคงดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้
ส่วนไทยการประชุม กนง.รอบที่จะถึง คือ 13 ส.ค.68 โดยมีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยสัก 1 ครั้งหรือ 25 BPS.
จากท่าทีของ ธปท.ที่กังวลเศรษฐกิจชะลอตัวจาก TRADE TARIFF 2.0, มาตรการการคลังยังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เต็มที่ และเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย(ล่าสุดติดลบ 3 เดือนต่อเนื่อง -0.25%YOY) อีกทั้งสะท้อนผ่านตลาดการเงินอย่าง BOND YIELD ช่วงอายุ 1-10 ปีต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งสิ้น โดย BOND YIELD 10 ปี
ล่าสุดอยู่ 1.50% ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทำให้กลไลทางการเงินนำไปสู่ค่าเงินบาทที่โอกาสอ่อนค่าลงบ้างจากโซนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลง แต่ SET มักไม่ได้ปรับตัวลงเสมอไป สังเกตปีที่ SET OUTPERFORMตลาดหุ้นโลก มักจะเป็นปีที่บาทอ่อนค่า โดยเฉพาะปีที่บาทอ่อนค่าน้อยกว่าการแข็งค่าของ DOLLAR INDEX อย่างปี2001, 2014 และปี 2022 เป็นต้น เนื่องจากนักลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงมาลงทุนในไทยมากขึ้น ขณะที่ครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มเป็นแบบนี้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นรับประโยชน์บาทอ่อนค่า อาทิ
กลุ่มส่งออก HANA, DELTA, KCE, TU, ITC, AAI, CPF, STA, NER, STGT, SAT, SCC
กลุ่มท่องเที่ยว AOT, AAV, BA, MINT, CENTEL, ERW
กลุ่มโรงพยาบาล BH, BDMS, PR9, BCH
FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อในช่วงนี้
ฝ่ายวิจัยฯ เล็งเห็นสภพาแวดล้อม หนุน FUND FLOW ไหลเข้าหุ้นไทยต่อจาก 3 ส่วน คือ
▪ เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และไทยเพิ่มเติม จาก IMF มีการปรับเป้า GDP โลกขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเซีย รวมถึงไทยที่ถูกปรับ GDP ขึ้นจาก 1.8% เป็น 2% อีกทั้งค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้อ่อนค่า 0.14%(WTD) น้อยกว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า1.3%(WTD) ในช่วงนี้แสดงว่า FUND FLOW ยังวนเวียนอยู่ในไทยไม่ได้ไปไหน หรืออาจจะไหลเข้าเพิ่มด้วยซ้ำ
▪ MOMENTUM เม็ดเงินในช่วงนี้เอนเอียงไปที่หุ้น VALUE โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน สะท้อนได้จากในช่วง 1สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มหุ้นสหรัฐที่ OUTPERFORM คือ กลุ่มพลังงาน +6%, กลุ่มโรงพยาบาล +2.2%,กลุ่มอุตสาหกรรม +1.9% ถือเป็น SENTIMENT ที่ดีต่อหุ้นไทยที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้น VALUE และมีสัดส่วนหุ้นอิงราคา COMMODITY ถึง 1 ใน 3 ของตลาด
▪ FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อในเดือน ส.ค. คือ หุ้นไทยมีโอกาสถูกปรับเพิ่มน้ำหนักในดัชนีMSCI (ประกาศ 12 ส.ค.) และ FTSE (ประกาศ 22 ส.ค.) หลังจากหุ้นไทยในเดือนที่ผ่านมา +13.3% ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก (MSCI ACWI) +1.9% เท่านั้น
แนะนำ 10 หุ้นที่ต่างชาติซื้อเยอะสุดในรอบ 15 วัน ซึ่งต่างชาติซื้อสะสม 1.9 หมื่นล้านบาท คือ AOT, CPALL, KTC,KBANK, SCC, BBL, CPN, ADVANC, TOP, CPF
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์