สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 กรกฎาคม 2568)--------กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีจำนวน 43,838 ราย แม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอน แต่ยังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่น ในศักยภาพของไทย ดันเม็ดเงินลงทุนทะลุ 1.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ที่ยังเป็นแม่เหล็กลงทุนสำคัญของภูมิภาค พร้อมจับตา ‘ธุรกิจกาแฟไทย’ ที่ยังเติบโตไม่หยุด ทั้งยอดบริโภคและการจัดตั้งธุรกิจ สะท้อนโอกาสใหม่ที่พร้อมเสิร์ฟให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,023 ราย ลดลง 328 ราย (-4.46%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (7,351 ราย) แต่เพิ่มขึ้น 5.34% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2568 (6,667 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 18,113 ล้านบาท ลดลง 9,866 ล้านบาท (-35.26%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (27,979 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 580 ราย ทุนจดทะเบียน 1,083 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 387 ราย ทุนจดทะเบียน 1,332 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 295 ราย ทุนจดทะเบียน 511 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.26%, 5.51% และ 4.20% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมิถุนายน 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัทราชดำริ ฮอลพิทอลลิตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 2,600 ล้านบาท
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 43,838 ราย ลดลง 2,545 ราย (-5.49%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (46,383 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 149,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,061 ล้านบาท (2.80%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (145,079 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 3,490 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,870 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,832 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.96%, 6.55% และ 4.18% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามลำดับ
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 1,468 ราย เพิ่มขึ้น 52 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (1,416 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 10,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,499 ล้านบาท (112.16%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (4,904 ล้านบาท) ทั้งนี้ เดือนมิถุนายน 2568 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 4,324 ล้านบาท ขณะที่ เดือนมิถุนายน 2567 ไม่มีธุรกิจที่จดทะเบียนทุนสูงมาจดเลิก สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 100 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 198 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 84 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 436 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 74 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 177 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.81%, 5.72% และ 5.04% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนมิถุนายน 2568 ตามลำดับ
การจดทะเบียนเลิกครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 6,244 ราย เพิ่มขึ้น 205 ราย (3.39%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (6,039 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 30,544 ล้านบาท ลดลง 46,205 ล้านบาท (-60.20%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (76,748 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 547 ราย 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 316 ราย และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 276 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.76%, 5.06% และ 4.42% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 แม้ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจจะชะลอตัวบ้าง แต่เงินลงทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ในส่วนของการจดเลิกธุรกิจตัวเลขขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ทุนเลิกลดลง ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวัฎจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ โดยสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดทะเบียนเลิกมีสัดส่วนอยู่ที่ 7:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 7 ราย เลิก 1ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยของครึ่งปีแรกในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567)
สำหรับธุรกิจที่เป็นแรงผลักดันให้การจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 มาจาก 5 ธุรกิจหลักๆ ได้แก่ 1) ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ เติบโตคิดเป็น 64.45% 2) โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เติบโตคิดเป็น 48.93% 3) กิจกรรมทางกฎหมาย (สำนักงานหรือที่ปรึกษากฎหมาย) เติบโตคิดเป็น 46.79% 4) ขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เติบโตคิดเป็น 46.40% และ 5) ขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร เติบโตคิดเป็น 21.05% ในทางกลับกันก็มีธุรกิจที่การเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ 1) ขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป ลดลงคิดเป็น 31.50% 2) กิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง ลดลงคิดเป็น 29.11% 3) ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ลดลงคิดเป็น 26.05% 4) อสังหาริมทรัพย์ ลดลงคิดเป็น 21.50% และ 5) ภัตตาคาร/ร้านอาหาร ลดลงคิดเป็น 12.97%
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,008,668 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.96 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 959,099 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.67 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 758,722 ราย หรือ 79.11% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.88 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 198,882 ราย หรือ 20.74% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด1,495 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.36 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 520,337 ราย ทุนจดทะเบียน 13.10 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 313,174 ราย ทุน 2.58 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 125,588 ราย ทุน 6.99 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.25%, 32.66% และ 13.09% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
การลงทุนของชาวต่างชาติครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568)
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 502 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 123 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 379 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 111,506 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 117 ราย (30%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (385 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 30,019 ล้านบาท (37%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (81,487 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 99 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 43,025 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรม และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ช่วยพยุงข้อมือ สิ่งพิมพ์ลามิเนทเพื่อบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร ชิ้นส่วนยานพาหนะ
2. สหรัฐอเมริกา 72 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,797 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องจักร/เครื่องมือ/อุปกรณ์/ชิ้นส่วน และส่วนประกอบที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการทำการตลาด รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อพัฒนาธุรกิจ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น DC Cable โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ Captive Screw for PCB
3. จีน 65 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 18,336 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชุดสายไฟแรงดันสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพ ชิ้นส่วนยานพาหนะ แผ่นพลาสติกพิมพ์ลาย
4. สิงคโปร์ 63 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 17,384 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง ธุรกิจบริการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะทุบขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ แม่พิมพ์และชิ้นส่วนพลาสติก Printed Circuit Board
5. ฮ่องกง 51 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,309 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วนโลหะ
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 158 ราย คิดเป็น 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 42 ราย (36%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 62,851 ล้านบาท คิดเป็น 56% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 42 ราย ลงทุน 24,752 ล้านบาท จีน 38 ราย ลงทุน 13,909 ล้านบาท สิงคโปร์ 15 ราย ลงทุน 8,046 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 63 ราย ลงทุน 16,144 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจการค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรม ธุรกิจบริการเขต Data Center ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
วิเคราะห์ธุรกิจ ‘จับกระแส กาแฟไทย’
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลวิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า ‘อุตสาหกรรมกาแฟ’เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และได้รับความนิยมต่อเนื่องจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย สะท้อนการเติบโตของตลาดกาแฟภายในประเทศที่มูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาทในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้น 8.33% จากปี 2567
จากข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีนิติบุคคลในอุตสาหกรรมกาแฟจำนวน 6,361 ราย แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 811 ราย และกลุ่มขาย 5,550 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 39,329 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 10,562 ล้านบาท และกลุ่มขาย 28,767 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรูปแบบบริษัทจำกัดคิดเป็น 78.39% (4,986 ราย) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก คิดเป็น 96% (6,105 ราย) เมื่อวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจร้านกาแฟจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ร้านกาแฟแบบFranchise/Chain ที่มีแบรนด์แข็งแรงและมีความสามารถในการทำกำไรสูง เช่น Café Amazon, กาแฟพันธุ์ไทย และ 1:2 Coffee และร้านกาแฟแบบ Independent หรือร้านอิสระ ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 94.4% ทั้งนี้ แม้ธุรกิจกลุ่มนี้จะสร้าง อัตรากำไรสุทธิได้ต่ำกว่าแบบแรก แต่ยังสามารถเติบโตได้ดีด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพและความสร้างสรรค์ เช่น NANA Coffee Roaster และ Factory Coffee
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม-มิถุนายน) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟถึง 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการรายย่อย ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจจากความชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ด้านผลประกอบการในปี 2567 สามารถสร้างรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟอยู่ที่ 206,751 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566
ปัจจัยความสำเร็จของร้านกาแฟในยุคปัจจุบันอยู่ที่การปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ช่องทางการสั่งซื้อที่หลากหลาย การรับชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล และการสร้างแบรนด์ที่มี Story แตกต่างจากคู่แข่ง เป็นต้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจกาแฟในวันนี้ ไม่ใช่แค่ขายเครื่องดื่ม แต่เป็นการขายประสบการณ์ คุณภาพ และเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคให้กลับมาซื้อซ้ำพร้อมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ผลักดันให้มีความยั่งยืนต่อไป
สรุปการจดทะเบียนธุรกิจครึ่งปีแรก และแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจตลอดปี 2568
ภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจครึ่งปีแรก 2568 มีจำนวน 43,838 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,545 ราย คิดเป็น 5.49% ขณะที่ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 2.80% สะท้อนถึงปัจจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ท้าทายและการรอดูทิศทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยเข้ามาลดผลกระทบบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและดึงความเชื่อมั่น เมื่อพิจารณาเชิงลึกจะเห็นได้ว่ามีประเภทธุรกิจกว่า 328 ประเภทที่มีอัตราการจัดตั้งเพิ่มขึ้น คิดเป็น 35.69% จากประเภทธุรกิจทั้งหมด และมีธุรกิจบางกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจให้คำปรึกษา ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจขายส่ง และกลุ่มโรงแรมรีสอร์ท ที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกติดต่อกันถึง 3 ปี
สำหรับแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง 2568 (กรกฎาคม-ธันวาคม) เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการจัดตั้งธุรกิจย้อนหลังไป 5 ปี จะพบว่า ในครึ่งปีแรกการจัดตั้งธุรกิจจะมีสัดส่วนกว่า 50% แต่ครึ่งปีหลังมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นในทุกปี อาทิ ในปี 2567 มีการจัดตั้งธุรกิจตลอดทั้งปี 87,596 ราย แบ่งเป็น ครึ่งปีแรก 46,383 ราย สัดส่วนการจัดตั้ง 53% อัตราการเติบโต -1.91% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 และครึ่งปีหลังมีการจัดตั้งธุรกิจ 41,213 รายสัดส่วนการจัดตั้ง 47% อัตราการเติบโต 8.42% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ด้วยเหตุนี้ จึงคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังของปี 2568 จะมีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปี 2567 โดยอยู่ที่ประมาณ 41,000-42,000 ราย และตลอดทั้งปี 2568 คาดว่ามียอดจดทะเบียนรวม 85,000 ราย ใกล้เคียงกับปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการเที่ยวคนละครึ่ง และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs ซึ่งช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ห้องชุด ธุรกิจขนส่งคนโดยสารและสินค้า ธุรกิจขายส่งผลิตภัณฑ์อาหาร และธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาผลกระทบจากสถานการณ์ มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tax) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะติดตามสถานการณ์และเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทยด้วยองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การจับคู่ธุรกิจและเพิ่มโอกาสทางการตลาด การจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการรับมือกับโอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศต่อไป” อธิบดีอรมน กล่าว