Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: เปิดหุ้นเสี่ยง! ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา

327

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 25 กรกฎาคม 2568 )-----เปิดหุ้นเสี่ยง!ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา  กลุ่มไหน เสี่ยงมาก  เสี่ยงน้อย   ในทางกลับกัน  ธีมไหนได้ได้อานิสงส์   ไปดู...




    บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส :  ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารุนแรงขึ้นไทยสั่งปิดด่านชายแดนทั้งหมด ยกเลิกการเดินทางของบุคคลทั่วไปผ่านชายแดน ยกเว้นเหตุจำเป็น เช่นการแพทย์ฉุกเฉิน ยุติความสัมพันธ์ทางการทูต คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรบจ.บางแห่งมาก เช่น SAV ที่มีรายได้ในกัมพูชา 100% ของรายได้รวม, CBG ที่ 15% ของรายได้รวม AEONTS ที่ 7% ของรายได้รวม, OR & SNNP, OSP & DRT & SNNP & SAPPE ที่น้อยกว่า6% ของรายได้รวม เป็นต้น





    บล.พาย: สำหรับปัจจัยกัมพูชาและไทยนั้นเราเชื่อว่าไม่มีผลอย่างมีนัยยะในระยะกลางต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่มีการอิงกับกัมพูชาอย่างมีนัยยะ การส่งออกไปกัมพูชาคิดเป็นประมาณ 3.1% ของส่งออกไทยรวมทั้งหมด ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นเพียง 1.6% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย แต่อย่างไรก็ตามอาจมีผลกับบริษัทที่มีรายได้ในกัมพูชา อาทิ CBG (15% รายได้รวม) , SAV ที่มีรายได้หลักในกัมพูชา



    บล.เอเซีย พลัส :   ความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร มีรายละเอียด ดังนี้

    กลุ่มเครื่องดื่ม : คาด CBG ได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มาจากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมดนอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2569ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายรวม


    กลุ่มรพ. : คาดไม่กระทบ เนื่องจากคนไข้กัมพูชาที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานในไทย (EXPAT) ส่วนคนไข้กัมพูชาที่บินเข้ามารักษารพ.ที่ไทย เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และการรักษาพยาบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ฐานคนไข้กลุ่มนี้ชะลอลงติดกันแล้วหลายไตรมาสก่อนหน้าทำให้เทียบสัดส่วนต่อรายได้ปัจจุบันไม่ได้มีนัย ซึ่งคาดจะได้รับชดเชยจากการเข้ามาของคนไข้ชาติอื่นๆแทน ส่วนรพ.ที่อยู่ตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ลูกค้าชะลอเข้าใช้บริการบ้างเล็กน้อย สร้าง SENTIMENT เชิงลบต่อ BCH เนื่องจากมีรพ. 1 แห่งที่ อรัญประเทศฯ สำหรับ BDMS แม้มีรพ. 2 แห่งที่อยู่ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในกัมพูชา จึงคาดไม่ได้กระทบอย่างมีนัย ทั้งนี้ 2 รพ.ดังกล่าวคิดเป็นรพ.เพียง 1% ของรายได้ธุรกิจรพ.ของ BDMS


    กลุ่มโรงไฟฟ้า : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ไม่ได้มีการเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชา มีเพียง BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้า SOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน จึงคาดจะไม่มีนัยฯ ต่อกำไรของ BGRIM


    กลุ่มพลังงาน : OR มีธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี (จากทั้งหมด 2761สถานีในไทย + ต่างประเทศ) , ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้านค้า (จากทั้งหมด 4898 ร้านค้า), และร้านสะดวกซื้อ 71ร้านค้า (จากทั้งหมด 2421 ร้านค้า) โดยในปี 2567 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากประเทศเวียดนามราว 1.2 พันล้านบาท หรือราว 7.0% ของ EBITDA รวมของ OR ปัจจุบัน OR ยืนยันการดำเนินงานเป็นไปตามปกติ และยังไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังอยู่ในช่วงของการติดตามสถานการณ์ต่อไป


    กลุ่ม ICT: คาดไม่กระทบ เพราะการให้บริการหลักอยู่ในไทย


    กลุ่มค้าปลีก : คาดผลกระทบน้อย แม้มี CPALL, CPAXT และ BJC ที่มีการไปเปิดสาขาในกัมพูชา แต่ถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด โดย ณ สิ้นปี 2567 CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ทั้งหมด 15,367 สาขา ส่วนใหญ่99.2% เป็นสาขาในไทย ที่เหลือเป็นสาขาในกัมพูชา 112 สาขา และลาว 10 สาขา ส่วน CPAXT ส่วนธุรกิจค้าส่งมีสาขาทั้งหมด 175 แห่ง เป็นสาขาใน 165 แห่ง ในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง BJC มีสาขา BIGC ทั้งหมด 2,030 สาขา ส่วนใหญ่ 98.7% เป็นสาขาในไทย (2,003 แห่ง) โดยเป็นสาขาในกัมพูชา 25 แห่ง


    กลุ่มมีเดีย : ผลจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้กัมพูชาออกประกาศระงับการนำเข้าและฉายภาพยนตร์ไทยในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งในกัมพูชา มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย 68 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบที่จะมีต่อ MAJOR ไม่มาก โดย MAJOR มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา 33 โรง คิดเป็น 3.8% ของโรงภาพยนตร์ทั้งหมดที่MAJOR มี 863 โรง ในเชิงรายได้จากธุรกิจในกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้รวม MAJOR เท่านั้น โดยปกติโรงภาพยนตร์ในกัมพูชาจะมีสัดส่วนการฉายภาพยนตร์กัมพูชา : อินโดนีเซีย : ไทย : ฮอลิวูด อยู่ที่ 30 : 20 : 20 :20และเดือน มิ.ย-ก.ค MAJOR ก็ไม่มีการจัดผังภาพยนตร์ไทยในโปรแกรมฉายที่กัมพูชาอยู่แล้ว


กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง ไปในประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่มีการค้าชายแดนกับไทย โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชา สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมด


    กลุ่มก่อสร้าง : แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในภาคก่อสร้างมีอยู่ประมาณ 1.6 แสนคน ถือเป็นกลุ่มแรงงานที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาทุกอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือระดับกลางและแรงงานทั่วไป บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของไทยอย่าง CK และ STECON ส่วนใหญ่จะมีการว่าจ้างแรงงานผ่านบริษัทรับเหมาช่วง (SUBCONTRACTOR) ซึ่งน่าจะมีกลุ่มแรงงานกัมพูชาอยู่ในนั้นด้วย หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ก็จะกระทบต่อโครงการก่อสร้างทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน


    กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อขาย และเพื่อเช่า รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา และไม่มีการพัฒนาโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกัมพูชา 


    กลุ่มเกษตรอาหาร : แม้ CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชาเป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบอย่างมีนัยฯ ขณะที่บริษัทอื่น เช่น TU, ITC และGFPT ไม่มีการลงทุนในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด 
 



      บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า InnovestX ประเมินว่า หากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายืดเยื้อหรือยกระดับรุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบจำกัดต่อเศรษฐกิจไทย แต่กัมพูชาจะมีความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัดมากกว่า ขณะเดียวกันจะมีผลกระทบจำกัดต่อตลาดหุ้นไทย เพราะมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจโดยตรงกันน้อย และไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยต่อหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50/SET100 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้จากกัมพูชา ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนสำหรับนักลงทุนมีดังนี้

-นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ : ธีม Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อและได้รับผลกระทบจำกัดจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยเลือกหุ้น SET 50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น MTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก อีกทั้งมีปัจจัยพื้นฐานดี แนะนำ BDMS CPALL MINT MTC PTT


-นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ : ธีม High Dividend ที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% และได้รับผลกระทบจำกัดจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แนะนำ ADVANC BBL PTT


-นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง : ธีม Rebound โดยคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้เร็ว หากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา คลี่คลายลงหรือยุติเร็ว แนะนำซื้อเก็งกำไร AEONTS CBG

• ผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทยจำกัดแต่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการบางอุตสาหกรรม ปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปกัมพูชาราว 9,168 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเพียง 3% ของการส่งออกไทยทั้งหมด ดังนั้นหากเกิดความขัดแย้งยืดเยื้อหรือยกระดับรุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระดับไม่มากนัก แต่จะกระทบต่อบางกลุ่มอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการที่พึ่งพาการส่งออกไปตลาดกัมพูชา โดยเฉพาะสินค้าพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท (เครื่องดื่ม ปุ๋ย) แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังสามารถรองรับได้


•ผลกระทบต่อกัมพูชาจะรุนแรงกว่ามากทั้งในแง่การสูญเสียเงินโอนและการขาดแคลนสินค้าจำเป็น กัมพูชามีแรงงานที่ทำงานในไทย 1.2–1.5 ล้านคน และมีรายได้จากเงินโอนของแรงงานที่ส่วนใหญ่ทำงานในไทยสูงถึง 2,950 ล้านดอลลาร์ต่อปี (6.6% ของ GDP กัมพูชา) รวมทั้งยังพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคและเชื้อเพลิงจากไทยมูลค่ากว่า 3 แสน ลบ. ต่อปี ดังนั้นหากเกิดความขัดแย้งยืดเยื้อหรือยกระดับรุนแรงขึ้น จะทำให้กัมพูชามีความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัดมากกว่าไทย เนื่องจากกัมพูชาจะขาดแคลนสินค้าจำเป็น (น้ำมันสำเร็จรูป ปุ๋ย และอาหาร) ส่งผลให้ราคาสินค้าหลายชนิดจะปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงว่างงานและความยากจนในครัวเรือน กระทบต่อความมั่นคงอย่างรุนแรงกว่าฝ่ายไทย



•ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยยังจำกัด เพราะไทยและกัมพูชามีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจโดยตรงกันน้อย และไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยต่อหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50/SET100 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้จากกัมพูชา โดยหุ้นไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อสถานการณ์กัมพูชา เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้ ได้แก่ SAV (100%), CBG (14%), AEONTS (7%) ขณะที่หุ้นที่มีผลกระทบจำกัด ได้แก่ BH (4%), CPF–BTG (3–4%), BDMS (3%), OR (3%) SCC (3%), GLOBAL (2%) และ BCH (2%) ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ (<1%) ได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC, MINT, CENTEL, ERW, BBL, KBANK และ SCB

•CBG เป็นหนึ่งในหุ้นที่เราดูแลซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงจากกัมพูชา โดยปี 2567 มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14% (3,100 ลบ.) และกำไรสุทธิ 380 ลบ.ขณะที่ 1H268 ทำยอดขายได้ดีราว 1,500 ลบ. (15% ของรายได้) ซึ่งประเมินหากยอดขาย 2H68 หายไปทั้งหมด คาดจะกระทบกำไรปี 2568 ราว 190 ลบ. เหลือ 3,072 ลบ. (+8%YoY) และกระทบต่อราคาเป้าหมายลง ~5 บาท/หุ้น ทั้งนี้แม้ปัจจุบันบริษัทจะยังดำเนินการจัดส่งสินค้าและก่อสร้างโรงงานได้ตามแผน แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาต่อไปอย่างใกล้ชิด


•กลุ่มค้าปลีก (GLOBAL, CPALL, CPAXT, BJC) ได้รับผลกระทบจำกัด โดยมีรายได้จากกัมพูชาอยู่ที่เพียง 0.3–2% ของรายได้รวม และมีสาขาในกัมพูชาไม่เกิน 2% ของสาขารวม ทั้งนี้ยังสามารถปรับเส้นทางนำเข้าสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปิดสาขาบริเวณชายแดนไทยคิดเป็น <0.1% ของสาขารวมและไม่มีผลกระทบต่อแรงงานอย่างมีนัย โดย INVX แนะนำ CPALL และ HMPRO เป็น Top Picks ของกลุ่ม



---จบ---  

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

HotNews: เปิดหุ้นเสี่ยง! ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา

เปิดหุ้นเสี่ยง!ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา กลุ่มไหน เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ในทางกลับกัน ธีมไหนได้ได้อานิสงส์ ไปดู...

รอดูสถานการณ์ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ยามนี้ ต้องจับตา รอดู สถานการณ์ ชายแดน ไทย-กัมพูชา คณะมนตรีความมั่นคง UN นัดประชุมฉุกเฉิน....

มัลติมีเดีย

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้