วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวน จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้ง ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาผลการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและไทย มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก และไอซีที มีแรงซื้อน าโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Indexปิดตลาดที่ 1,212.49 จุด -7.13 จุด -0.58% มูลค่าการซื้อขาย 46,887.92 ลบ. Program Trading-277.25 ลบ. ต่างชาติ +1,605.87 ลบ. TFEX -6,863 สัญญา ตราสารหนี้+3,575.70 ลบ.

ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดเพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ +1.2% ปิดที่66.03 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดรวมทั้งรายงานข่าวที่ว่ารัสเซียจะลดการส่งออกน้ำมันเบนซิน
+ สหรัฐฯ เปิดเผยว่ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 4,000 รายสู่ระดับ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 227,000 ราย
+/- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามการคาดการณ์ของตลาด หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 8 ครั้งนับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2567 การคงอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ระดับ 2.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 2.40%ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 2.15%
+ BOI เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค โดยช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2568)มีการยื่นขอรับ การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% มูลค่าเงินลงทุนรวม1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138%

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 316.38 จุด หรือ -0.70% โดยถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัท ไอบีเอ็ม อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และNasdaq ยังคงปิดทำนิวไฮ เนื่องจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทอัลฟาเบท ช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยี AI รายอื่น ๆ จะแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน
- สหรัฐฯ ยืนยันว่ารัฐบาลจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าที่เรียกว่าภาษีตอบโต้ (reciprocaltariff) ในอัตราระหว่าง 15%-50% หลังพ้นเส้นตายเจรจาการค้าในวันที่ 1 ส.ค.นี้โดยก าหนดให้ 15% เป็นอัตราขั้นต่ำ ขณะที่ประเทศที่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นกับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บในอัตราสูงสุด 50%
- เกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาในหลายจุด ตลอดแนวชายแดน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งพลเรือนและทหาร รวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน
- รัฐบาลกัมพูชาประกาศลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยลงสู่ระดับต่ าสุดพร้อมเรียกตัวเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่การทูตทั้งหมดกลับประเทศ เพื่อตอบโต้มาตรการของรัฐบาลไทยที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกันก่อนหน้านี้
- ส.อ.ท.ปรับประมาณการยอดผลิตรถยนต์ปี 2568 เหลือ 1.45 ล้านคัน ลดลงจากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.5 ล้านคัน การส่งออกรถยนต์เฉพาะเดือนมิถุนายน 2568อยู่ที่ 88,085 คัน ลดลง 1.11%YoY เนื่องจากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น จากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือการขับเพื่อความปลอดภัย
และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงของประเทศคู่ค้า
- กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 28,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (938,533 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ที่ 15.5% จากตลาดคาดราว 18-19% ส่วนการส่งออก 6 เดือนของปี 68 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 166,851 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.57 ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้น 15%

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลง โดยมีแรงกดดันจากความกังวลเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งพลเรือนและทหาร รวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน มองกรอบดัชนีที่ 1,204-1,220จุด

กลยุทธ์การลงทุน
• เที่ยวไทยคนละครึ่ง : AWC MINT ERW CENTEL SHR
• หุ้น Defensive : ADVANC PR9 TISCO BGRIM
• หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ก.ล.ต.เตรียมเปิด Sandbox ให้ชาวต่างชาตินำคริปโตแลกเงินบาทนำมาใช้จ่ายธนาคาร KBANK SCB BAY โรงแรม MINT CENTEL ERW AWC สายการบิน AAV BA บันเทิง MAJORค้าปลีก CPALL CPAXT หุ้นคริปโต JTS BTC XPG ZIGA
• ได้รับผลกระทบเชิงลบจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา : CBG SAV