Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

133

 

หาก SET ย่อ อาจเป็นจังหวะรถ ถอยมารับ
TOP PICK IVL/ TASCO / GULF

 

 

EXTERNAL FACTOR

• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง (RETAIL SALES, NONFARMPAYROLL, CPI) และความกังวลอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก TRADE TARIFF 2.0
ทำให้ตลาดยังคาดว่า FED จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมเพื่อดูสถานการณ์อีกครั้ง อ้างอิงจาก FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า
• ส่วนทิศทางดอกเบี้ยไทยมีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น ผ่านตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีข้อพิพาทกับกัมพูชาที่กดดัน GDP GROWTH ดังนั้นน่าจะเห็นเม็ดเงินพยุงให้ค่าเงินบาทที่ล่าสุดแข็งค่าโซน +-32 บาท/เหรียญฯ กลับมาอ่อนค่าได้บ้าง

 

INTERNAL FACTOR
• ผลพวงของการส่งออกไทยที่เร่งตัวขึ้นในช่วง 1H68 คาดเป็นแรงหนุน GDPGROWTH ไทยในครึ่งแรก แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกไทยใน 2H68กระทรวงพาณิชย์คาดมาตรการ TARIFF จะส่งผลต่อการค้าไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลการเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ ก่อนภาษีจะมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. นี้ จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทย
• สำหรับกรณีความไม่สงบระหว่างไทย-เขมร อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ การส่งออกไทยไปเขมร เดือน มิ.ย. 68 ลดลงกว่า -30%MOM เช่นเดียวกับนำเข้าลดลง -17%MOM มองเป็น SENTIMENT เชิงลบต่อหุ้นชายขอบ

 

INVESTMENT STRATEGY
• วันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซึมๆ กับประเด็นข้อพิพาทจากกัมพูชา รอดูเหตุการณ์ม็อบที่อนุเสาวรีย์ วันอาทิตย์นี้พร้อมกับเป็นวันหยุดยาว 3 วัน อาจทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบาง แต่การย่อตัวของดัชนี อาจเป็นโอกาสสะสมอีกครั้ง ตามกลยุทธ์ GG (GOOD GAME) SET มักดีดแรงหลังเกิดเหตุการณ์หนักๆ ระดับ MASS SCALE อาทิเหตุการณ์สหรัฐฯ ใช้เครื่องบิน B2 ทิ้งระเบิดที่อิหร่าน ( ณ 23 มิ.ย. 68) หลังจากนั้น 1 วัน SET +3.5% และเหตุการณ์ม็อบอนุเสาวรีย์ (28 มิ.ย. 68) ไม่นำไปสู่การเกิดรัฐประหาร หลังจากนั้น SET +4.1% ใน 4 วัน
• สำหรับหุ้นเด่นแนะนำ หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว MTC, BH, IVL, TASCO, GULF

 


ดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจคง แต่ดอกเบี้ยไทยลงนะจ้ะ ... บอกให้
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 217,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.68 และต่ำกว่าตลาดคาดที่ระดับ 227,000 ราย + ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 0.6%MOM สู่ระดับ 627,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย.68 โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง(RETAIL SALES, NONFARM PAYROLL, CPI) บวกกับความกังวลอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก TRADETARIFF 2.0 ที่เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค.68 ทำให้ตลาดยังคาดว่า FED จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมเพื่อดูสถานการณ์อีกครั้ง อ้างอิงจาก FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักเกือบ 100% ที่FED จะคงดอกเบี้ยสัปดาห์หน้าซึ่งสอดคล้องกับวานนี้ที่การประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาดไว้ที่ระดับ 2.00% หลังหั่นดอกเบี้ย 8 ครั้งติดต่อกัน

 


ขณะที่มุมของประเทศไทย มีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น จากการเปลี่ยนผ่านนสู่ ผู้ว่า ธปท.คนใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในมุมการพยุงเศรษฐกิจผ่านการลดดอกเบี้ยมากขึ้น อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างตัวเลข CPIที่ติดลบ 3 เดือนต่อเนื่อง ล่าสุด -0.25%YOY ทำให้ REAL INTEREST RATE(อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง) ของไทยอยู่สูงระดับ 2.0% (ดอกเบี้ย 1.75% - เงินเฟ้อติดลบ 0.25%) ทำให้ยังมี ROOM ให้ลดดอกเบี้ยได้มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านเราที่มี ROOM ในช่วง 0.75-1.5% เท่านั้น อีกทั้งมีแรงเสริมจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่อาจกดดันให้ดุลการค้าระหว่างกันชะลอลง ส่งผลโดยตรงต่อ NET EXPORT ที่เป็นองค์ประกอบของ GDPทำให้นักลงทุน PRICE ACTION ต่อ BOND YIELD ช่วงอายุ 1-10 ปีต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งสิ้น โดยBOND YIELD 10 ปี ล่าสุดอยู่ 1.49% สะท้อนการลดดอกเบี้ยราว 1 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปี(สอดคล้องกับความเห็นจากฝ่ายวิจัยฯ) ซึ่งประเมินว่าการประชุมรอบ ส.ค.68 มีโอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ย 25 BPS. และพยุงให้ค่าเงินบาทที่ล่าสุดแข็งค่าโซน +-32 บาท/เหรียญฯ ให้กลับมาอ่อนค่าได้บ้าง โดยหุ้นกลุ่มที่ได้รับ SENTIMENT เชิงบวก อาทิ กลุ่มเช่าซื้อ MTC, TIDLOR, SAWAD, JMT กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก KKP, TISCO กลุ่ม
อสังหาริมทรัพย์SPALI, LH , AP, SIRI เป้นต้น

 

ครึ่งปีหลังกับแรงกดดันรอบด้าน
วานนี้กระทรวงพาณิชย์เผยส่งออกไทยเดือน มิ.ย. 68 +15.5%YOY ขยายตัวต่ำกว่าคาดที่ +18.3%YOY ส่วนการนำเข้า +13.4%YOY ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,062 ล้านเหรียญฯ สำหรับสินค้าขยายตัวเด่นเดือน มิ.ย. 68 อาทิ
• ไก่สด และแปรรูป (+15.8%YOY) ขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่อง มองบวกต่อ CPF GFPT
• แผงวงจรไฟฟ้า (+46.2%YOY) ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง มองบวกต่อ DELTA HANA KCE
• อาหารสัตว์เลี้ยง (10.9%YOY) มองบวกต่อ ITC AAI ASIAN

ผลพวงของการส่งออกไทยที่เร่งตัวขึ้นในช่วง 1H68 คาดเป็นแรงหนุน GDP GROWTH ไทยในครึ่งแรก โดยดุลการค้าของไทยเกินดุลกับหลายประเทศเมื่อเทียบกับปีก่อน อาทิ สหรัฐฯ (+40%), กัมพูชา (+12%) เป็นต้นแต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกไทยใน 2H68 กระทรวงพาณิชย์คาดมาตรการ TARIFF จะส่งผลต่อการค้าไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลการเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ ก่อนภาษีจะมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. นี้ จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทย

 


สำหรับกรณีความไม่สงบระหว่างไทย-เขมร อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ การส่งออกไทยไปเขมร เดือน มิ.ย. 68 ลดลงกว่า -30%MOM เช่นเดียวกับนำเข้าลดลง -17%MOM มองเป็น SENTIMENT เชิงลบต่อหุ้นชายขอบ


ความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร มีรายละเอียด ดังนี้

กลุ่มเครื่องดื่ม : คาด CBG ได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มาจากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมดนอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2569ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายรวม


กลุ่มรพ. : คาดไม่กระทบ เนื่องจากคนไข้กัมพูชาที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานในไทย (EXPAT) ส่วนคนไข้กัมพูชาที่บินเข้ามารักษารพ.ที่ไทย เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และการรักษาพยาบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็นแต่ฐานคนไข้กลุ่มนี้ชะลอลงติดกันแล้วหลายไตรมาสก่อนหน้าทำให้เทียบสัดส่วนต่อรายได้ปัจจุบันไม่ได้มีนัย ซึ่งคาดจะได้รับชดเชยจากการเข้ามาของคนไข้ชาติอื่นๆแทน ส่วนรพ.ที่อยู่ตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ลูกค้าชะลอเข้าใช้บริการบ้างเล็กน้อย สร้าง SENTIMENT เชิงลบต่อ BCH เนื่องจากมีรพ. 1 แห่งที่ อรัญประเทศฯ สำหรับ BDMS แม้มีรพ. 2 แห่งที่อยู่ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในกัมพูชา จึงคาดไม่ได้กระทบอย่างมีนัย ทั้งนี้ 2 รพ.ดังกล่าวคิดเป็นรพ.เพียง 1% ของรายได้ธุรกิจรพ.ของ BDMS


กลุ่มโรงไฟฟ้า : ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ไม่ได้มีการเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชา มีเพียง BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้า SOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน จึงคาดจะไม่มีนัยฯ ต่อกำไรของ BGRIM


กลุ่มพลังงาน : OR มีธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี (จากทั้งหมด 2761สถานีในไทย + ต่างประเทศ) , ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้านค้า (จากทั้งหมด 4898 ร้านค้า), และร้านสะดวกซื้อ 71ร้านค้า (จากทั้งหมด 2421 ร้านค้า) โดยในปี 2567 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากประเทศเวียดนามราว 1.2 พันล้านบาท หรือราว 7.0% ของ EBITDA รวมของ OR ปัจจุบัน OR ยืนยันการดำเนินงานเป็นไปตามปกติ และยังไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังอยู่ในช่วงของการติดตามสถานการณ์ต่อไป


กลุ่ม ICT: คาดไม่กระทบ เพราะการให้บริการหลักอยู่ในไทย


กลุ่มค้าปลีก : คาดผลกระทบน้อย แม้มี CPALL, CPAXT และ BJC ที่มีการไปเปิดสาขาในกัมพูชา แต่ถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด โดย ณ สิ้นปี 2567 CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ทั้งหมด 15,367 สาขา ส่วนใหญ่99.2% เป็นสาขาในไทย ที่เหลือเป็นสาขาในกัมพูชา 112 สาขา และลาว 10 สาขา ส่วน CPAXT ส่วนธุรกิจค้าส่งมีสาขาทั้งหมด 175 แห่ง เป็นสาขาใน 165 แห่ง ในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง BJC มีสาขา BIGC ทั้งหมด 2,030 สาขา ส่วนใหญ่ 98.7% เป็นสาขาในไทย (2,003 แห่ง) โดยเป็นสาขาในกัมพูชา 25 แห่ง


กลุ่มมีเดีย : ผลจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้กัมพูชาออกประกาศระงับการนำเข้าและฉายภาพยนตร์ไทยในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งในกัมพูชา มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย 68 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบที่จะมีต่อ MAJOR ไม่มาก โดย MAJOR มีโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา 33 โรง คิดเป็น 3.8% ของโรงภาพยนตร์ทั้งหมดที่
MAJOR มี 863 โรง ในเชิงรายได้จากธุรกิจในกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วน 3% ของรายได้รวม MAJOR เท่านั้น โดยปกติโรงภาพยนตร์ในกัมพูชาจะมีสัดส่วนการฉายภาพยนตร์กัมพูชา : อินโดนีเซีย : ไทย : ฮอลิวูด อยู่ที่ 30 : 20 : 20 :20และเดือน มิ.ย-ก.ค MAJOR ก็ไม่มีการจัดผังภาพยนตร์ไทยในโปรแกรมฉายที่กัมพูชาอยู่แล้วกลุ่มวัสดุก่อสร้าง: บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง ไปในประเทศกลุ่ม CLMV ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่มีการค้าชายแดนกับไทย โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชาคือ CHIPMONG INSEE CEMENT CORPORATION สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณ
ปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมด


กลุ่มก่อสร้าง : แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในภาคก่อสร้างมีอยู่ประมาณ 1.6 แสนคน ถือเป็นกลุ่มแรงงานที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาทุกอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือระดับกลางและแรงงานทั่วไป บริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของไทยอย่าง CK และ STECON ส่วนใหญ่จะมีการว่าจ้างแรงงานผ่านบริษัทรับเหมาช่วง (SUBCONTRACTOR) ซึ่งน่าจะมีกลุ่มแรงงานกัมพูชาอยู่ในนั้นด้วย หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ก็จะกระทบต่อโครงการก่อสร้างทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน


กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อขาย และเพื่อเช่า รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา และไม่มีการพัฒนาโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกัมพูชา


กลุ่มเกษตรอาหาร : แม้ CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชาเป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบอย่างมีนัยฯ ขณะที่บริษัทอื่น เช่น TU, ITC และGFPT ไม่มีการลงทุนในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดนอกจากนี้เป้าหมายนักท่องเที่ยว 35.5 ล้านคนในปี 2025 ดูจะเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆโดยรวมยอด 1H68 พบว่า ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 16.7 ล้านคน คิดเป็นแค่ 47% ของเป้าหมายทั้งปีซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ 50% ขณะที่ "คณะรวมพลังแผ่นดิน" นัดชุมนุมอีกครั้ง เพื่อปกป้องอธิปไตยในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ด้านท่าทีของต่างชาติทั้งสหรัฐฯ,ฟิลิปปินส์,อิสราเอล,อังกฤษเตือนพลเมืองเลี่ยงพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทยความเสี่ยงไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร ?

สรุป ผลกระทบ TARIFF ที่รออยู่ข้างหน้า บวกกับความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ถือเป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยสูญเสียดุลการค้าในช่วง 2H68 ซึ่งอาจกดดัน GDP ขยายตัวได้น้อยลงหาก SET ย่ออาจเป็นจังหวะรถ ถอยมารับอีกครั้ง

วันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซึมๆ กับประเด็นข้อพิพาทจากกัมพูชา รอดูเหตุการณ์ม็อบที่อนุเสาวรีย์ วันอทิตย์นี้ พร้อมกับเป็นวันหยุดยาว 3 วัน อาจทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบางลงบ้าง
อย่างไรก็ตามการย่อตัวของดัชนี อาจเป็นโอกาสสะสมอีกครั้ง เพื่อหวังผลในระยะกลาง ตามกลยุทธ์ GG (GOODGAME) SET มักดีดแรงหลังเกิดเหตุการณ์หนักๆ ระดับ MASS SCALE อาทิ

▪ เหตุการณ์สหรัฐฯ ใช้เครื่องบิน B2 ทิ้งระเบิดที่อิหร่าน ( ณ 23 มิ.ย. 68) หลังจากนั้น 1 วัน SET +3.5%จาก 1062จุด -> 1100จุด ( ณ 24 มิ.ย.68) พร้อมกับเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นแรงในช่วงกลางปีนี้โดยมีหุ้นที่ขึ้นแรง คือ AAV 13%, BGRIM 12%, SAWAD 11%, ERW 9%
▪ เหตุการณ์ม็อบอนุเสาวรีย์ (28 มิ.ย. 68) ไม่นำไปสู่การเกิดรัฐประหาร หลังจากนั้น SET +4.1% ใน 4 วันจาก 1082 จุด -> 1127 จุด (ณ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 68) โดยมีหุ้นที่ขึ้นแรง คือ KCE 21%, M 20%, ITC15% เป็นต้น

หวังหลังเครื่องบิน F16 ทิ้งระเบิดที่เขมรแล้ว และหลังมีม็อบที่อนุเสาวรีย์ 27 มิ.ย. SET อาจมีโอกาสฟื้นอีกครั้งเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ GG (GOOD GAME) ก็เป็นไปได้ สำหรับหุ้นเด่นแนะนำ หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว MTC, BH, IVL, TASCO, GULF

 



Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

NER ร่วมทำดี บริจาคโลหิต เฉลิมพระเกียรติ จัดหาโลหิตสำรอง...ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์

HotNews: เปิดหุ้นเสี่ยง! ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา

เปิดหุ้นเสี่ยง!ปมข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา กลุ่มไหน เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ในทางกลับกัน ธีมไหนได้ได้อานิสงส์ ไปดู...

รอดูสถานการณ์ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ยามนี้ ต้องจับตา รอดู สถานการณ์ ชายแดน ไทย-กัมพูชา คณะมนตรีความมั่นคง UN นัดประชุมฉุกเฉิน....

มัลติมีเดีย

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

DEXON แผนครึ่งปีหลัง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า ยุโรป-อเมริกา

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้