Today’s NEWS FEED

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย อินโดนีเซียได้ดีลลดภาษีเหลือ 19% พร้อมทั้งเปิดตลาดและยอมรับเงื่อนไขรอบด้านของสหรัฐฯ

554

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(24 กรกฎาคม 2568)---------อินโดนีเซีย-สหรัฐฯ เปิดเผยความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Trade Agreement) (22 ก.ค.) ใจความสำคัญหลักอยู่ที่สหรัฐฯ ลดอัตราภาษี (Reciprocal Tariffs) ให้อินโดนีเซีย เหลือ 19% (จากเดิม 32%) ขณะที่ฝั่งอินโดนีเซียต้องเปิดตลาดและยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่สหรัฐฯ เสนอ ซึ่งทรัมป์ระบุว่าข้อตกลงนี้เป็น “ดีลที่ยอดเยี่ยม” ที่จะเปิด "สิทธิ์การเข้าถึงตลาดอินโดนีเซียเต็มรูปแบบ (Full access)" ให้กับสหรัฐฯ (ตารางที่ 1)


ตารางที่ 1: ตัวอย่างรายละเอียดความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างอินโดนีเซีย-สหรัฐฯ
ความตกลง สหรัฐฯ ให้อินโดนีเซีย อินโดนีเซียให้สหรัฐฯ
การลดภาษี - ลดภาษีให้สินค้าอินโดนีเซียเหลือ 19%
- อาจลดเพิ่มเติมสำหรับสินค้าที่ไม่มีในประเทศ - ยกเลิกภาษีศุลกากรราว 99% สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ
Rules of Origin - กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าที่เอื้อต่อสหรัฐฯ และอินโดนีเซีย
การลดอุปสรรคที่มิใช่ภาษี (NTBs) - ยกเว้นข้อกำหนด Local Content สำหรับสินค้าสหรัฐฯ
- ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์ของสหรัฐฯ
- ยอมรับใบรับรอง FDA และอนุญาตให้ทำการตลาดล่วงหน้าสำหรับเครื่องมือแพทย์และยา
- ยกเลิกข้อกำหนดฉลากสินค้าบางประเภท ยกเว้นข้อกำหนดบางประการสำหรับเครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์
- ดำเนินการแก้ไขปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาที่ระบุตามรายงาน Special 301 ของ USTR
การเข้าถึงสินค้าเกษตร - ยกเว้นสินค้าสหรัฐฯ จากระบบโควตาและใบอนุญาตนำเข้า
- ยอมรับมาตรการกำกับดูแลของสหรัฐฯ เช่น ใบรับรองเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม
- ให้สถานะ Fresh Food of Plant Origin (FFPO) กับพืชผักผลไม้จากสหรัฐฯ
การค้าดิจิทัล บริการ และการลงทุน - อนุญาตให้มีการส่งข้อมูลส่วนบุคคลออกนอกประเทศไปยังสหรัฐฯ
- ยกเลิกภาษีสินค้าดิจิทัล/ไร้ตัวตน (Intangible products) และระงับข้อกำหนดเรื่องการแสดงรายการนำเข้า
- สนับสนุนการงดเก็บภาษีอิเล็กทรอนิกส์ใน WTO ปรับข้อผูกพันใน WTO ด้านกฎระเบียบบริการ
ประเด็นด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อม - อินโดนีเซียตกลงจะคุ้มครองสิทธิแรงงานตามหลักสากล เช่น ห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตจากแรงงานบังคับ แก้ไขกฎหมายให้คุ้มครองเสรีภาพในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง รวมถึงเสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน
- อินโดนีเซียจะรักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสูงและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เช่น ปรับปรุงธรรมาภิบาลในภาคป่าไม้ ต่อต้านการค้าไม้ผิดกฎหมาย ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ปฏิบัติตามข้อตกลง WTO ด้านเงินอุดหนุนประมงและต่อต้านการค้าไม้และสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย
ด้านอุตสาหกรรมและทรัพยากร - อินโดนีเซียจะเข้าร่วม Global Forum on Steel Excess Capacity และดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล็กล้นตลาดโลก
- อินโดนีเซียจะยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและแร่สำคัญไปยังสหรัฐฯ
การซื้อสินค้า - ซื้อสินค้าพลังงานมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์ฯ อาทิ LPG น้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน
- ซื้อสินค้าเกษตรมูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ฯ อาทิ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ฝ้าย
- ซื้อเครื่องบินมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ฯ
ความมั่นคง - ทั้งสองประเทศจะเสริมสร้างความร่วมมือในด้าน การควบคุมการส่งออก ความมั่นคงด้านการลงทุนและการเลี่ยงภาษี
ที่มา: Whitehouse.gov
• เงื่อนไขที่อินโดนีเซียตกลงกับสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันด้านการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ขณะเดียวกัน ข้อตกลงดังกล่าวยังเป็นแรงผลักดันให้อินโดนีเซียต้องยกระดับมาตรฐานด้านการผลิต แรงงาน และกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น
• ข้อตกลงซื้อสินค้าสหรัฐฯ และการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ โดยไม่เสียภาษีอาจลดการเกินดุลการค้ากดดันต่อค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าในระยะข้างหน้า จากการที่อินโดนีเซียเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยไม่เสียภาษียิ่งทำให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาทำตลาดได้มากขึ้น บวกกับข้อตกลงเพิ่มการนำเข้าในหมวดพลังงานและเกษตรกรรมล้วนส่งผลให้การเกินดุลการค้าของประเทศลดลง เพิ่มความเสี่ยงให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูงขึ้นจากปัจจุบันที่ขาดดุลติดต่อกัน 2 ปี ซึ่งอาจกดดันต่อเสถียรภาพภายนอกและเพิ่มแรงกดดันต่อเงินรูเปียห์ให้อ่อนค่าต่อเนื่อง
• การลดภาษีเหลือ 19% จากเดิม 32% จะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคการส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ ได้บางส่วน แต่ผลเชิงบวกต่อ GDP ยังมีจำกัด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP อินโดนีเซียในปี 2025 ขึ้นเป็น 4.8% (จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 4.5% ภายใต้สมมติฐานที่ต้องเผชิญภาษีตอบโต้ในอัตรา 32%) เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 1.9% ของ GDP อินโดนีเซียในปี 2024 (ตารางที่ 2) อีกทั้ง เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนและกำลังซื้อในประเทศที่ยังอ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยสำคัญกดดันเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ดี ภาษีที่ลดลงช่วยให้การส่งออกหลังวันที่ 1 ส.ค. ยังประคองตัวต่อได้ พร้อมทั้งส่งสัญญาณเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทรัพยากรแร่ธาตุของอินโดนีเซีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนใหม่
ตารางที่ 2: อินโดนีเซียส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจเพียง 1.9% ในปี 2024
ประเทศ สัดส่วนความสำคัญของการส่งออกปี 2024 (%)
ส่งออกไปสหรัฐฯ/ส่งออกทั้งหมด ส่งออก/GDP ส่งออกไปสหรัฐฯ/GDP
เวียดนาม 29.4 85.2 25.1
กัมพูชา** 37.2 56.9 22.7
ไทย 18.3 57.1 10.4
มาเลเซีย 13.2 78.2 10.3
สิงคโปร์ 8.5 92.2 7.9
ฟิลิปปินส์ 16.6 15.9 2.6
อินโดนีเซีย 9.9 19.0 1.9
เมียนมา*** 3.9 22.1 0.9
สปป.ลาว* 1.4 58.2 0.8
บรูไน* 0.9 73.4 0.7
หมายเหตุ: *ข้อมูลปี 2023, **ข้อมูลปี 2022, ***ข้อมูลปี 2021
ที่มา: CEIC โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

อินโดนีเซียเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เปลี่ยนโครงสร้างการแข่งขันในประเทศ
• การเปิดตลาดอินโดนีเซียให้สินค้าสหรัฐฯ โดยยกเว้นภาษีนำเข้าเกือบทุกรายการถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงราคาอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สหรัฐฯ มีโอกาสขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมสินค้าสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ 7.95% (MFN เฉลี่ย) แต่หลังจาก 1 ส.ค. ภาษีดังกล่าวจะลดลงส่งผลให้สินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เกษตรและเครื่องจักร สามารถแข่งขันในตลาดอินโดนีเซียได้ดีขึ้นทันที ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของอินโดนีเซีย (รองจากจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น) มีมูลค่านำเข้า 11.9 พันล้านดอลลาร์ ฯ ในปี 2024
• ข้อตกลงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โครงสร้างการค้าของอินโดนีเซียเปลี่ยนแปลงไปจากการเปิดช่องให้สหรัฐฯ เข้ามาแข่งขันได้เต็มรูปแบบ จึงอาจพลิกสมดุลการค้าในภูมิภาคได้ในอนาคต โดยเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ มีบทบาทมากขึ้นในฐานะคู่ค้า จากปัจจุบันที่สหรัฐฯ มีสัดส่วนการนำเข้าเพียง 5.1% ของการนำเข้าอินโดนีเซีย เทียบกับจีนที่ครองส่วนแบ่งสูงถึง 31% และกลุ่มประเทศในเอเชียที่มี FTA กับอินโดนีเซียซึ่งครองตลาดใน 10 อันดับแรก
• สำหรับไทยยังมีแต้มต่อที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN FTA) กับอินโดนีเซีย และโครงสร้างสินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ทับซ้อนกับสินค้าสหรัฐฯ (ตารางที่ 3) แต่ในบางหมวดสินค้าอุตสาหกรรมคงต้องเตรียมรับการแข่งขันที่สูงขึ้น เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล และเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะหากสินค้าสหรัฐฯ สามารถเร่งเจาะตลาดอินโดนีเซียได้เร็วและมีต้นทุนที่ได้เปรียบกว่าในระยะถัดไป
ตารางที่ 3: อินโดนีเซียเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ให้เข้ามาชิงส่วนแบ่งจากฝั่งเอเชีย

หมายเหตุ: *HS code 4-digit ประกอบด้วย 2711, 1201, 2709, 2701, 2303, 2901, 8802,1001, 8411, 2301 ตามลำดับ
ที่มา: USITC รวมรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ดีลนี้หนุนสินค้าอินโดนีเซียได้เปรียบในการทำตลาดสหรัฐฯ
• ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อตกลงระหว่างอินโดนีเซียกับสหรัฐฯ ทำให้สินค้าอินโดนีเซียได้เปรียบเหนือสินค้าอาเซียนในการเจาะตลาดสหรัฐฯ โดยอินโดนีเซียจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งต่ำเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ (10%) และเท่ากับฟิลิปปินส์ (19%) ทำให้มีข้อได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับไทยที่ยังมีอัตราภาษี 36% (ตารางที่ 4)
ตารางที่ 4: เปรียบเทียบความตกลงประเทศที่ได้ดีลการค้ากับสหรัฐฯ
ประเทศ Reciprocal Tariffs สหรัฐฯ ให้คู่เจรจา คู่เจรจาให้สหรัฐฯ
ก่อนลดภาษี 1 ส.ค.
สหราชอาณาจักร
(8 พ.ค.) 10% 10% - ภาษีรถยนต์เหลือ 10% (โควตา 1 แสนคัน)
- ภาษีเหล็ก/อะลูมิเนียม 0% (กำหนดโควตา)
- สิทธิพิเศษยกเว้นภาษีอากาศยาน/ชิ้นส่วน - ภาษีเนื้อวัว 0% (โควตา 1.3 หมื่นตัน)
- ภาษีเอทานอล 0% (โควตา 1.4 พันล้านลิตร)
- ซื้อเครื่องบิน Boeing รวม 1 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ
- เปิดการจัดซื้อจัดจ้างให้สหรัฐฯ มากขึ้น
เวียดนาม
(4 ก.ค.) 46% 20% - ภาษีสินค้า Transshipment 40% - ภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0%
- ซื้อสินค้าสหรัฐฯ 2-3 พันล้านดอลลาร์ฯ
อินโดนีเซีย
(ลงนาม 16 ก.ค. เปิดข้อตกลง 22 ก.ค.) 32% 19% - ความร่วมมือด้านความมั่นคง
- กำหนด ROOs ที่เอื้อประโยชน์ต่อ 2 ประเทศ - ภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0%
- ซื้อสินค้าสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน เกษตร เครื่องบิน
- ลดอุปสรรคทางการค้าการลงทุนด้านต่างๆ
ฟิลิปปินส์
(22 ก.ค.) 17% 19% ยังไม่เปิดเผย - ภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0%
ญี่ปุ่น
(22 ก.ค.) 25% 15% - เพิ่มการนำเข้าข้าวและพลังงานจากสหรัฐฯ
- ซื้อสินค้าเกษตร 8 พันล้านดอลลาร์ฯ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ปุ๋ย เชื้อเพลิงชีวิภาพ เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน
- ซื้อเครื่องบิน 100 ลำ และซื้อยุทโธปกรณ์
- ยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ และอนุญาตให้มาตรฐานรถยนต์สหรัฐฯ ใช้งานได้ในญี่ปุ่น
- ลงทุนในสหรัฐฯ 5.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ (พลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ เหมืองแร่ ยาและอุปกรณ์การแพทย์ สร้าง/ปรับปรุงอู่ต่อเรือ) และสหรัฐฯ จะได้รับผลกำไรจากการลงทุน 90%
ที่มา: รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

• กลุ่มสินค้าหลักที่อินโดนีเซียส่งออกไปสหรัฐฯ จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการลดภาษี ส่งผลให้มีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่อินโดนีเซียมีศักยภาพและมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น น้ำมันปาล์ม ยางธรรมชาติ และกุ้งแปรรูป ขณะที่บรรดาสินค้าอาเซียนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านราคา (ตารางที่ 5)
• สินค้าไทยเผชิญการแข่งขันสูงขึ้นในกลุ่มสินค้าที่ทับซ้อนกับประเทศอาเซียนที่มีอัตรา Reciprocal Tariffs ต่ำกว่าไทย โดยตัวอย่างสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ต้องแข่งกับอาเซียนแต่ละประเทศ (ตารางที่ 5 และ 6) อาทิ ยางธรรมชาติ ถุงมือยาง กุ้งแปรรูป ปลาแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
• อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลกระทบเชิงนโยบายยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาษีของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนได้อีก โดยเฉพาะหลังวันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป ซึ่งอัตราภาษีใหม่จะถูกนำมาใช้กับหลายประเทศในอัตราสูง
ตารางที่ 5: ตัวอย่างสินค้าที่อินโดนีเซียที่มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ สูงมีความได้เปรียบสินค้าอาเซียน

หมายเหตุ: *HS code 4-digit ประกอบด้วย 1511, 6403, 8543, 8517, 4011, 4202, 1605, 4001, 6404, 6110 ตามลำดับ, **สิงคโปร์มี FTA กับสหรัฐฯ สินค้าส่วนใหญ่จึงมี MFN rate ที่ 0%, ***ไทย เวียดนาม ถูกสหรัฐฯ เก็บ AD/CVD เพิ่มเติม,****สมาร์ทโฟน/ส่วนประกอบได้รับยกเว้นจาก Reciprocal Tariffs, ไทยเสียเปรียบอาจถูกชิงส่วนแบ่งตลาด
ที่มา: USITC รวมรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ตารางที่ 6: สรุปสินค้าไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้าอาเซียนที่มีปลายทางเป็นตลาดสหรัฐฯ
การแข่งขันของสินค้าไทย สินค้าเกษตร/เกษตรแปรรูป สินค้าอุตสาหกรรม
แข่งกับสินค้าอินโดนีเซีย ยางธรรมชาติ เส้นใยเทียม
แข่งกับอินโดนีเซียและเวียดนาม กุ้งแปรรูป ไม้อัดพลายวูด อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องจักรไฟฟ้า สมาร์ทโฟน/ส่วนประกอบ ยางล้อ กระเป๋าเดินทาง ชุดชั้นใน
แข่งกับเวียดนาม ปลาแปรรูป โทรทัศน์ ลวดเกลียว กระเบื้อง ชุดดำน้ำ/ชุดผจญเพลิง เครื่องคำนวณ เครื่องซักผ้า
แข่งกับฟิลิปปินส์ กล้องถ่ายรูป
แข่งกับมาเลเซีย ถุงมือยาง เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องพิมพ์ วิทยุ/เครื่องอัดเสียง

ที่มา: รวมรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้