ปู่ SET VS ลุง ฮุนเซน
TOP PICK COCOCO / BEM / TASCO

EXTERNAL FACTOR
• รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ HOWARD LUTNICK เผยว่า สหรัฐฯ และจีนได้ลงนามข้อตกลงการค้าเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นการยืนยันเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในการเจรจาที่เจนีวาเมื่อเดือนก่อน
• ล่าสุด ปธน. ทรัมป์ เตรียมลงนามข้อตกลงการค้าใหม่กับ 10 ประเทศภายใน 2 สัปดาห์ก่อนถึง DEADLINE เรียกเก็บภาษีตอบโตในวันที่ 9 ก.ค. 68
• คืนนี้รอติดตามตามการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เดือน พ.ค.CONSENSUS คาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 2.3%YOY

INTERNAL FACTOR
• ปัจจัยในประเทศมี 3 ปัจจัยที่เป็นตัวกดดัน คือ 1.เหตุความไม่สงบในกระบี่-ภูเก็ต(พบวัตถุต้องสงสัยหลายจุดในพื้นที่ใกล้เคียง) 2.ผู้นำกัมพูชาเตรียมแฉวันนี้ ประเด็นคุณทักษิณมีดีลรับเปลี่ยนตัวนายกฯในอดีต 3.ชุมใหญ่ขับไล่นายกฯ 28 มิ.ย.68 อีกทั้ง ม.หอการค้าไทย ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 เหลือ 1.7% จากเดิม 3.0%
• ซึ่งทั้ง 4 ประเด็นน่าจะกดดันให้หุ้นในดัชนีถูกกดดัน และมีแรงขายมากกว่าซื้อ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง AOT ที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัว จึงคาดกดดันให้ SET INDEX วันนี้ไม่สดใสมากนัก โดยมองกรอบไว้ที่ 1095-1115 จุด

INVESTMENT STRATEGY
• ระยะสั้น ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยปัจจัยกดดันหลากหลาย ม็อบ, ความไม่สงบภาคใต้, ฮุนเซนขู่ปล่อยคลิป อาจกดดันSET INDEX ที่ฟื้นขึ้นมา 60 –70 จุด ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ย่อตัวลงในช่วงนี้ได้
• อย่างไรก็ตามในภาพระยะยาว SET INDEX ยังน่าทยอยสะสม ด้วย 3 ปัจจัย 1. ช่วง 1H68 SET ย่อตัวลึกกว่า -20% ต่ำกว่าช่วงครึ่งปีอื่นๆ มาก 2. ปีนี้ SET ใช้สิทธิลงลึกกว่า 2% ต่อวัน ถึง 6 วัน ปกติจะลงลึกเกิน 2% เพียง2 –3 วันต่อปี 3. ตลอด 15 ปี หาก SET ย่อตัวลงมาบริเวณแถวๆ 900 -1100 จุด มักรีบาวน์เสมอ และปัจจุบันยังมี P/E และ P/BV ต่ำกว่าช่วงที่ดัชนีรีบาวน์ในอดีตมาก ที่สำคัญในอดีต 3 เดือน SET มักฟื้นเฉลี่ยได้ 15%และ 6 เดือน ฟื้นได้ 21%

เริ่มกลับมาให้น้ำหนักกับ TRADE WAR
รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ HOWARD LUTNICK เผยว่า สหรัฐฯ และจีนได้ลงนามข้อตกลงการค้าเมื่อ 2 วันก่อน ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นการยืนยันเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในการเจรจาที่เจนีวาเมื่อเดือนก่อน ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังคงต้องMONIITOR ตามกรอบเวลากำหนดไว้

ล่าสุด ปธน. ทรัมป์ เตรียมลงนามข้อตกลงการค้าใหม่กับ 10 ประเทศ ภายใน 2 สัปดาห์ ก่อนถึง DEADLINE เรียกเก็บภาษีตอบโตในวันที่ 9 ก.ค. 68 และหากประเทศใดไม่มีข้อตกลง จะมีการส่ง “จดหมาย” กำหนดเงื่อนไขการค้าไปแทนขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อยุติ หลังมีการส่งข้อเสนอต่างๆ ให้สหรัฐฯพิจารณาเมื่อ 20 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา

อีกประเด็นหนึ่งของปัจจัยแวดล้อม วานนี้สหรัฐฯ มีการประเทศตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งยังคงเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานจากยอดผู้ขอรับสวัสดิการต่อเนื่อง โดยล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 1.97 ล้านราย สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 1.95 ล้านราย อีกทั้ง GDP GROWTH สหรัฐฯ ใน 1Q68 ถูกปรับคาดการณ์ ครั้งที่ 3 ลดลงเหลือ -0.5%QOQ ต่ำกว่าตลาดคาดที่ -0.3%QOQ เนื่องจากผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภค เป็นผลให้ความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงมีมากขึ้น สะท้อนจาก BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ร่วงลงมาต่ำกว่า POLICY RATEมากกว่า 25 BPS. (เทียบเท่ากับการปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง)

อย่างไรก็ตาม คืนนี้รอติดตามตามการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เดือน พ.ค. CONSENSUS คาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 2.3%YOY ซึ่งในกรณีที่ออกต่ำกว่าคาด อาจเป็นเพิ่มความคาดหวังดอกเบี้ยขาลง หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน กรณีที่ออกมาสูงกว่าคาด อาจทำห้การปรับลดดอกเบี้ยมีความยากลำบากมาขึ้นได้ เป็นเพราะในระยะข้างหนายังมีความเสี่ยงปัญหาเงินเฟ้อจากผลกระทบของนโยบาย TARIFFSรออย

นอกจากนี้ ผลกระทบจากนโยบาย TARIFFS กำลังเพิ่มระดับความกังวลต่อโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยอีก 1 ปีข้างหน้าเพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ นำโดยสหรัฐฯ อยูที่ 40% (เดิม 20%), ญี่ปุ่นอยูที่ 35% (เดิม 30%) รวมถึงไทยอยูที่ 30% (เดิม 10%)

เศรษฐกิจไทยยังห่างไกล TECHNICAL RECESSION แต่มีปัจจัยกดดันหลายเรื่อง
แม้วานนี้ ม.หอการค้าไทย จะหั่น GDP ปี 2568 เหลือ 1.7% จากเดิม 3.0% เหตุส่งออกถูกกดดันจากภาษีสหรัฐฯสินค้าจีนทะลัก, หนี้ครัวเรือนไทยสูง, นักท่องเที่ยวต่าชาติลดลง, เสถียรภาพของรัฐบาลที่ไม่มั่นคง ซึ่ง ม.หอการค้าไทย แนะนำให้รัฐบาลเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และปลดล็อกสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหากอ้างอิงตัวเลข GDP ของหอการค้า ทั้งปีที่ 1.7% สามารถตีความได้ว่า มูลค่า GDP เมื่อเทียบรายไตรมาส (SEASONAL ADJUSTED) นับตั้งแต่ 2Q68-4Q68จะอยู่ที่ 0.0%QOQ และมีความเสี่ยงเกิด TECHNICALRECESSION ได้

อย่างไรก็ตามหากอ้างอิงประมาณการ GDP ทั้งปีนี้ของ ASPS BLOOMBERG และ BOT ที่อยู่ 1.8%, 2.0% และ2.3%YOY ตามลำดับ พบว่า มูลค่า GDP เมื่อเทียบรายไตรมาส (SEASONAL ADJUSTED) นับตั้งแต่ 2Q68-4Q68 จะอยู่มากกว่า 0% ทั้งสิ้น ดังรูปด้านล่าง อีกทั้งตัวเลขโอกาสการเกิด RECESSION ในช่วง 1 ปีข้างหน้าของBLOOMBERG ยังให้ไทยมีโอกาสเกิดเพียง 30% เท่านั้น ซึ่งน่าจะช่วยลดความกังวลได้ระดับหนึ่ง

ขณะที่ปัจจัยในประเทศมี 3 ปัจจัยที่เป็นตัวกดดัน คือ 1.เหตุความไม่สงบในกระบี่-ภูเก็ต(พบวัตถุต้องสงสัยหลายจุดในพื้นที่ใกล้เคียง) 2.ผู้นำกัมพูชาเตรียมแฉวันนี้ ประเด็นคุณทักษิณมีดีลรับเปลี่ยนตัวนายกฯในอดีต 3.ชุมใหญ่ขับไล่นายกฯ 28 มิ.ย.68 ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นน่าจะกดดันให้หุ้นในดัชนีถูกกดดัน และมีแรงขายมากกว่าซื้อ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง AOT ที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัว จึงคาดกดดันให้ SET INDEX วันนี้ไม่สดใสมากนัก โดยมองกรอบไว้ที่1095-1115 จุด

ระยะสั้นกดดัน SET ย่อ ระยะยาวหวัง SET ขึ้นต่อ
ระยะสั้น ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยปัจจัยกดดันหลากหลาย ม็อบ, ความไม่สงบภาคใต้, ฮุนเซนขู่ปล่อยคลิป อาจกดดัน SETINDEX ที่ฟื้นขึ้นมา 60 –70 จุด ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ย่อตัวลงในช่วงนี้ได้

อย่างไรก็ตามในภาพระยะยาว SET INDEX ยังน่าทยอยสะสม ด้วย 3 ปัจจัย ดังนี้
• ช่วง 1H68 SET ย่อตัวลึกกว่า -20% ต่ำกว่าช่วงครึ่งปีอื่นๆ มาก
• ปีนี้ SET ใช้สิทธิลงลึกกว่า 2% ต่อวัน ถึง 6 วัน ปกติจะลงลึกเกิน 2% เพียง 2 –3 วันต่อปี
• ตลอด 15 ปี หาก SET ย่อตัวลงมาบริเวณแถวๆ 900 -1100 จุด มักรีบาวน์เสมอ และปัจจุบันยังมี P/E และP/BV ต่ำกว่าช่วงที่ดัชนีรีบาวน์ในอดีตมาก ที่สำคัญในอดีต 3 เดือน SET มักฟื้นเฉลี่ยได้ 15% และ 6 เดือนฟื้นได้ 21%

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์