สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(27 มิถุนายน 2568)--------------• ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยปี 2568 คาดอยู่ที่ 3.44 ล้านตัน ขยายตัว 1.3% จากปีก่อน สอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว 0.7% โดยมีปัจจัยหนุนมาจากราคาเนื้อสุกรที่เป็นสินค้าทดแทนปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดในวัว
• มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยปี 2568 คาดจะอยู่ที่ 4,445 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โต 3.0% ชะลอลงจากปีก่อนที่ 5.7% จากความต้องการในประเทศคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และจีนที่โตช้าลง ตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงยังต้องแข่งขันด้านราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
----------------------------------
แนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในประเทศ
ปี 2568 คาดว่า ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของไทยจะอยู่ที่ 3.44 ล้านตัน ขยายตัว 1.3%
ไก่ยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ผู้บริโภคให้ความนิยมเป็นอันดับ 2 รองจากเนื้อสุกร ทำให้ปริมาณการผลิตสอดรับไปกับความต้องการบริโภคในประเทศปีนี้ที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว 0.7% จากปีก่อน เนื่องจากราคาเนื้อสุกรปรับสูงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์โรคระบาดในวัว ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่เป็นสินค้าทดแทนยังคงเติบโต เนื่องจากมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อื่นๆ
ส่วนราคาไก่ที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์มคาดปรับตัวสูงขึ้น 3.5% จากปีก่อน (รูปที่ 3) ตามต้นทุนการผลิตที่ยังทรงตัวสูง ซึ่งแม้วัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีทิศทางลดลง แต่ต้นทุนส่วนอื่นๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น อาทิ ต้นทุนการจัดการฟาร์มให้ได้มาตรฐานและปลอดโรค รวมถึงค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ขณะที่ ราคาขายปลีกขยับขึ้นได้จำกัด เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุม ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังต้องเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษารายได้และอัตรากำไรของธุรกิจ
การแข่งขันของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในประเทศ
ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ไก่รายใหญ่ยังแข่งขันกันรุนแรงต่อเนื่อง เพื่อครองส่วนแบ่งตลาด ปัจจุบันมีผู้เล่นในธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ไก่จำนวน 1,252 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) โดยราว 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนอีก 20% เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง
อย่างไรก็ดี ผลผลิตเนื้อไก่จากฟาร์มเลี้ยงไก่ของเกษตรกรรายย่อย มีสัดส่วนเพียง 10% ของผลผลิตไก่เนื้อทั้งหมด ส่วนอีก 90% มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ลงทุนแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งที่เป็นฟาร์มของบริษัทเอง รวมถึงการทำ Contract farming กับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่องทั้งด้านคุณภาพและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
แนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยปี 2568 คาดอยู่ที่ 4,445 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 3.0% แต่ชะลอตัวลงจากปีก่อน ทั้งกลุ่มไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง
ไก่แปรรูป ส่งออกราว 70% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด ปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3.8% ชะลอตัวจากปีก่อนที่โต 7.7% โดยเป็นผลจากความต้องการในคู่ค้าหลักอย่างญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรที่โตช้าลง
• ญี่ปุ่น แม้การส่งออกไก่แปรรูปจากไทยบางส่วนจะได้อานิสงส์จากการระงับนำเข้าไก่จากบราซิลที่มีการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงเผชิญการระบาดในประเทศ แต่ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันด้านราคารุนแรงกับจีน โดยราคาส่งออกไก่แปรรูปเฉลี่ยของจีนไปญี่ปุ่นในปี 2566-2567 ยังถูกกว่าของไทยราว 13% ส่งผลให้การเติบโตอาจไม่มากนัก
• สหราชอาณาจักร แม้จะมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตไก่ในประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2568 คาดว่าการผลิตเนื้อสัตว์ปีกในสหราชอาณาจักรจะขยายตัวราว 2-3% ทำให้คำสั่งซื้อจากไทยในปีนี้อาจโตไม่มากเมื่อเทียบกับปีก่อน
ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ส่งออกราว 30% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด ปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ราว 1.3% ชะลอตัวจากปีก่อนที่โต 1.6%
• จีน ที่เป็นคู่ค้าหลักคาดว่าจะโตต่ำ ตามภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง รวมถึงไทยอาจไม่ได้อานิสงส์มากนักจากการที่จีนระงับการนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งบางส่วนจากบราซิลและสหรัฐฯ ที่มีการระบาดของไข้หวัดนก เนื่องจากผลผลิตไก่ในจีนเพิ่มขึ้น และมีการหันไปนำเข้าจากรัสเซียมากขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าจากรัสเซียเดิมอยู่ที่ 8% ในปี 2564 สูงขึ้นเป็น 15% ในปี 2567
• สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้จะเป็นตลาดใหม่ที่มีส่วนแบ่งในตลาดส่งออกของไทยเพียง 2-3% แต่คาดว่าการส่งออกจะยังเติบโต ตามความต้องการไก่ฮาลาลที่เพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากปัจจัยเฉพาะตัวของคู่ค้าหลักที่ส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกของไทยให้ขยายตัวชะลอลงแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องของค่าเงินบาทที่แกว่งตัวในทิศทางแข็งค่า ซึ่งอาจจะกระทบราคาส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยให้ปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
การแข่งขันของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ในตลาดส่งออก
ผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยมีแนวโน้มแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งอย่างบราซิลและจีน ที่ยังมีความได้เปรียบด้านราคาแม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งในเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปและพัฒนาสินค้าให้ได้ตามออเดอร์ลูกค้า แต่ก็มีความเสี่ยงจากคู่แข่งรายสำคัญอย่าง สหรัฐฯ บราซิล และจีน ที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่ำ รวมถึงปริมาณการผลิตที่มี Economy of scale
ขณะที่ไทยจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นหลัก (กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ ส่งผลให้ไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลิตภัณฑ์ไก่จึงสูงกว่าคู่แข่งซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกดดันการส่งออกของไทยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ธุรกิจอาจต้องปรับราคาลดลงมาเพื่อรักษายอดขาย หรือยอมลดอัตรากำไรบางส่วน
นอกจากนี้ การขยายฐานการผลิตภายในอาเซียนของผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในระยะต่อไปอาจชะลอลง สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง จากช่วงปี 2558-2562 ที่เติบโตเฉลี่ย 9.0% ลงมาอยู่ที่ 6.5% ในช่วงปี 2563-2567
ความเสี่ยงของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย
• ต้นทุนการผลิตยังผันผวน โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งมีสัดส่วนราว 60-70% ของต้นทุนการผลิตรวม แต่ไทยยังพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนที่สูง จึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของสภาพอากาศและอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ปัจจัยการผลิตอื่นๆ อาทิ พันธุ์ไก่เนื้อ รวมถึงต้นทุนการจัดการฟาร์มและสาธารณูปโภค เพื่อให้ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย/โรคระบาด ก็มีแนวโน้มขยับขึ้น ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่ออัตรากำไรเฉลี่ย (Gross profit margin) ของธุรกิจให้ปรับลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ที่ราว 20%-30%
• อุปสรรคทางการค้าจากทั้งมาตรการทางภาษีและมิใช่ภาษี อาทิ ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจกระทบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าหลักให้เติบโตต่ำ และส่งผลต่อเนื่องมายังยอดคำสั่งซื้องผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยให้ลดลง รวมถึงการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น มาตรฐานสุขอนามัยอาหาร (Food safety standards) มาตรฐานด้านสารตกค้างและการใช้ยา มาตรฐานฟาร์มและสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ตลอดจนการปฏิบัติตามเกณฑ์ ESG ที่อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิต อาทิ การตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ทำให้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการลงทุนในระบบการจัดการและคุณภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในฝั่งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มเข้มงวดกับมาตรฐานเหล่านี้
• การพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยไทยพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่าง ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรในสัดส่วนที่สูง (มากกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด) ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการพึ่งพาตลาด จึงควรมองหาโอกาสในการขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ อาทิ กลุ่มตะวันออกกลาง นิวซีแลนด์ แคนาดา เป็นต้น