สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (19 มิถุนายน 2568 )-----ไทวัสดุ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน "คอนกรีตมวลเบารักษ์โลก ระดับอาชีวศึกษา ครั้งที่ 1 " ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดงานโดยภาควิชาวิศวกรรมโยธาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ระหว่างวันที่ 5–7 มิถุนายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยสยาม โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาระดับอาชีวศึกษาจากทั่วประเทศ ได้แสดงศักยภาพด้านช่างก่อสร้างในการคิดค้น ประดิษฐ์และพัฒนานวัตกรรมคอนกรีตมวลเบารักษ์โลก โดยการแข่งขันในปีนี้ มีนักเรียน นักศึกษา ในระดับอาชีวศึกษา แผนกวิชาช่างก่อสร้าง โยธาและสถาปัตยกรรม จากวิทยาลัยเทคนิคทั่วประเทศ เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 21 ทีม ออกแบบคอนกรีตมวลเบารักษ์โลกสำหรับงานโครงสร้าง โดยมีการแบ่งรางวัลเป็น 2 ประเภท ได้แก่ "ประเภทกำลังอัดสูงสุด" และ "ประเภทเบาที่สุด" ซึ่งต้องผ่านการทดสอบจริงทั้งกายภาพและแนวคิดของคอนกรีตมวลเบารักษ์โลก โดยไทวัสดุ ได้สนับสนุนเงินรางวัลรวมมูลค่า 20,000 บาท เพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่ทีมนักศึกษาอาชีวะที่คว้ารางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศในการแข่งขันทั้งสองประเภททุกทีมในครั้งนี้

 

นางสาวชุติพร คงเจริญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด  บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ไทวัสดุ มีความพร้อมและมุ่งมั่นในการร่วมผลักดันการแข่งขัน "คอนกรีตมวลเบารักษ์โลก ระดับอาชีวศึกษา ครั้งที่ 1 " ซึ่งเป็นเวทีสร้างสรรค์ในด้านการศึกษา อาชีพ และการพัฒนานวัตกรรมด้านวัสดุก่อสร้าง อีกทั้งยังขอแสดงความยินดีกับทีมนักศึกษาที่ได้รับรางวัลทุกประเภท ทั้งนี้ กิจกรรมแข่งขันคอนกรีตมวลเบารักษ์โลก ไม่เพียงแต่ช่วยสะท้อนศักยภาพของเยาวชนไทย แต่ยังเป็นกำลังสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อในระยะยาว"

 

ทั้งนี้ ไทวัสดุ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีการร่วมกับแบรนด์พันธมิตรชั้นนำภายใต้แคมเปญ "ฮักโลก" (Hug the Earth) ผลักดันและจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่เป็นนวัตกรรมรักษ์โลก ผ่านโมเดิร์นเทรดไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮม ทั่วประเทศ เช่น แผ่นยิปซัมและกระเบื้องจากวัสดุรีไซเคิล สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ สีทาอาคารปราศจากสาร VOC  เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟสไตล์ความต้องการของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่ให้ความสำคัญและหันมาเลือกใช้สินค้าวัสดุในการก่อสร้างบ้าน และตกแต่งบ้านด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สอดคล้องปรัชญาการดำเนินธุรกิจ CRC CARE ในด้าน Care for the Environment เพื่อตอกย้ำให้ ไทวัสดุ เป็นธุรกิจรีเทลฮาร์ดไลน์สีเขียวชั้นนำควบคู่กับการสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

ดร.พรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม เผยว่า การแข่งขัน "คอนกรีตมวลเบารักษ์โลก ระดับอาชีวศึกษา ครั้งที่ 1 " เป็นเวทีแรกสำหรับน้องๆระดับอาชีวศึกษา หรือปวช ปวส ให้มีประสบการณ์ในการแข่งขัน ซึ่งทุกทีมจะต้องมีคอนเซ็ปต์ในการใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติหรือใช้วัสดุรีไซเคิลในการพัฒนาอิฐมวลเบารักษ์โลก ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้จะไปช่วยผลักดันอุตสาหกรรมก่อสร้างให้เติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริง "ผมขอขอบคุณไทวัสดุ ที่ให้การสนับสนุนการแข่งขัน และเป็นพาร์ทเนอร์กับมหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งเป็นการสานพลังระหว่างภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยสยาม เพื่อร่วมกันสร้างเครือข่ายแห่งการเรียนรู้และการพัฒนานวัตกรรมด้านการก่อสร้างที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต" ดร.พรชัย กล่าวเพิ่มเติม

 

สำหรับทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันคอนกรีตมวลเบารักษ์โลก ประเภท "กำลังอัดสูงสุด" ได้แก่ ทีมวิทยาลัยเทคนิคนครนายก ซึ่งสร้างความโดดเด่นด้วยการประยุกต์ใช้วัสดุเหลือใช้เป็นใยแก้วและเศษเซรามิกที่แตกหักซึ่งมีคุณสมบัติทั้งในด้านความหนาแน่นและน้ำหนักเบา มารีไซเคิลเป็นส่วนผสมและพัฒนาเป็นคอนกรีตมวลเบาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รางวัลชนะเลิศ ประเภท "เบาที่สุด" ได้แก่ ทีมวิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ได้นำเสนอแนวคิดการนำวัสดุเหลือใช้จากแกลบดำและหินภูเขาไฟ ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ มาใช้ในการผลิตคอนกรีตมวลเบาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งสองทีมแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำเสนอไอเดียและมีการประยุกต์ใช้วัสดุรีไซเคิล มาพัฒนาคอนกรีตมวลเบารักษ์โลกได้อย่างโดดเด่นและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศทั้งสองประเภทได้อย่างภาคภูมิใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ นักศึกษาทุกทีมที่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ ต่างได้รับทั้งประสบการณ์และองค์ความรู้ที่จะสามารถไปปรับใช้ในการศึกษาและต่อยอดอาชีพในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างต่อไปได้ในอนาคตได้อย่างมั่นคง