แนะหุ้นใคร “ไม่ซื้อ” แต่บริษัทกับผู้บริหาร “ซื้อ”
TOP PICK BDMS / GULF/ PTG
EXTERNAL FACTOR
GLOBAL INDICES
• วานนี้ สหรัฐฯ เผยตัวเลขเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. 68 +2.4%YOY ตามคาด ซึ่งขยับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวที่ 2.8%YOY ท่ามกลางในช่วง
เปลี่ยนผ่านนโยบายทางการค้า ส่งผลให้ FEDWATCH TOOL ยังคงให้น้ำหนักเกือบ100% คาด FED คงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
• ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงขยับขึ้นด้วย 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่1.การเดินหน้าเรียกเก็บภาษีของ ปธน.ทรัมป์ ยังคงมีผลบังคับใช้ แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน จะดูผ่อนคลายลง เนื่องจากจะเป็นการผลักภาระต้นทุนไปสู่ผู้บริโภค 2. ราคาน้ำมัน WTI พุ่งทะลุ $68 หรือ +13%MTD ทำนิวไฮรอบกว่า 2เดือน
INTERNAL FACTOR
• การเปรียบเทียบ GDP GROWTH(YOY) ของเศรษฐกิจไทย และดัชนี SET INDEX ในอดีต จะเห็นได้ว่า ในสภาวะที่ GDP GROWTH(YOY) เติบโตน้อยราว 1%-2% SET
INDEX มักอยู่ระดับ 1400-1500 จุด ซึ่งปัจจุบันดัชนีอยู่เพียง 1141 จุด ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในอดีตอยู่มาก
• วันนี้ติดตาม การประชุมแพทยสภาเกี่ยวกับวาระพิจารณากรณียับยั้งมติพักใบอนุญาตหมอ ปม “ทักษิณ” นอนรพ.ชั้น 14 ต้องใช้เสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด 69 คน (คืออย่างน้อย 46 เสียง) เพื่อ ยืนยันมติเดิม
INVESTMENT STRATEGY
• แม้ SET INDEX จะย่อตัวลงมากว่า 90 จุด ในช่วง เกือบ 1 เดือน และสัปดาห์นี้มูลค่าซื้อขายเบาบาง เหลือเพียง 2หมื่นกว่าล้านบาทต่อวัน เพราะนักลงทุนรอความชัดเจนเรื่องประเด็นการเมือง แต่ในทางกลับกันเห็นการทยอยซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนหนาแน่นขึ้นเฉลี่ย 352 ล้านบาทต่อวัน (มีสัดส่วนขยับขึ้นมาเกิน 1% ของมูลค่าซื้อขาย มากกว่าระดับปกติเกิน 2 เท่า) อีกทั้งยังมีการซื้อหุ้นจากผู้บริหารเฉลี่ย 50 ล้านบาทต่อวัน
• กลยุทธ์แนะนำหุ้นนอกสายตาทยอยสะสมหุ้นพื้นฐาน ที่บริษัททยอยซื้อคืนในช่วง 1 เดือนที่ SET ย่อตัวลงมากว่า 90 จุด อย่าง CPALL, TU, PTT, SPALI, SJWD, STECON และหุ้นที่ผู้บริหารทยอยซื้อสะสมเช่นกัน อย่างKCE, GULF, SPALI, BDMS, CRC, SAWAD, PLANB, BH
เงินเฟ้อเสี่ยงขยับขึ้น อาจกดดันดอกเบี้ยขยับลงช้า
วานนี้ สหรัฐฯ เผยตัวเลขเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. 68 +2.4%YOY ตามคาด ซึ่งขยับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวที่ 2.8%YOY ท่ามกลางในช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการค้า ส่งผลให้ FEDWATCH TOOL ยังคงให้น้ำหนักเกือบ 100% คาด FED คงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า (18 มิ.ย. 68)
ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงขยับขึ้นด้วย 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่
1. การเดินหน้าเรียกเก็บภาษีของ ปธน.ทรัมป์ ยังคงมีผลบังคับใช้ แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน จะดูผ่อนคลายลง เนื่องจากจะเป็นการผลักภาระต้นทุนไปสู่ผู้บริโภค
วานนี้ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งอนุญาตให้ภาษีของทรัมป์ยังคงมีผลระหว่างการอุทธรณ์และจะมีการนัดไต่สวนในวันที่ 31 ก.ค. 68 หากไม่มีคำสั่งจากศาลสูงสุด ภาษีเหล่านี้จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกหลายเดือน ขณะที่เช้านี้ ปธน. เผยว่ามีแผนจะส่งจดหมายถึงประเทศคู่ค้าภายใน 1–2สัปดาห์ เพื่อแจ้งอัตราภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ก่อนถึง DEADLINE กลับมาใช้ภาษี RECIPROCALTARIFF ในวันที่ 9 ก.ค. 68
สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน มีสัญญาณใกล้จบดีลแรก หลัง ปธน. ทรัมป์ เผยว่าสหรัฐฯจะอนุญาตให้นักเรียนจีนมาเรียนในมหาวิทยาลัยอเมริกัน รวมถึงจะเก็บภาษีนำเข้าจีนราว 55% แลกกับการที่จีนตกลงจัดส่งแร่หายากและแม่เหล็กให้สหรัฐฯ และจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 10% ซึ่งในตอนนี้รอ
พียง ปธน.สี จิ้นผิง อนุมัติขั้นสุดท้าย
2. ราคาน้ำมัน WTI พุ่งทะลุ $68 หรือ +18%MTD ทำนิวไฮรอบกว่า 2 เดือน ล่าสุดมีแรงผลักจากฝั่งDEMAND ขานรับผลเจรจาสหรัฐ-จีน และฝั่ง SUPPLY จากความตึงเครียดตะวันออกกลาง หลังอิหร่านขู่โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ หากการเจรจานิวเคลียร์ล้มเหลว ทำให้สหรัฐฯ ถอนเจ้าน้าที่ทางการฑูตออกนอกตะวันออกกลาง
SET INDEX ต่ำเกินไปหรือไม่ ??? เมื่อเทียบกับ GDP GROWTH ปีนี้โตเฉลี่ย 1.6%หลังจากที่ธนาคารโลก (WORLD BANK) ได้ปรับลดคาดการณ์GDP สำหรับประเทศไทย ในปี 2568 ลงเหลือ 1.8%จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.9% เมื่อเดือนม.ค.68 ทำให้ค่าเฉลี่ย GDP GROWTH ของหลายสำนักเศรษฐกิจในปีนี้ของไทยเหลืออยู่ที่ 1.6% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม รมช.คลัง กล่าวว่ารัฐบาลยังคงมีมาตรการต่างๆ เพื่อประคองสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท คาดเสนอบอร์ดใหญ่ใน1-2 สัปดาห์ อาทิโครงการเกี่ยวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ด้านน้ำและคมนาคม, การลงทุนด้านการท่องเที่ยว, การลดผลกระทบภาคการส่งออก หรือการเพิ่มผลิตภาพเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน , การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
ขณะที่ในมุมการเปรียบเทียบ GDP GROWTH(YOY) ของเศรษฐกิจไทย และดัชนี SET INDEX ในอดีต จะเห็นได้ว่า ในสภาวะที่GDP GROWTH(YOY) เติบโตน้อยราว 1%-2% SET INDEX มักอยู่ระดับ 1400-1500 จุด ซึ่งปัจจุบันดัชนีอยู่เพียง 1141 จุด ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในอดีตอยู่มาก อีกทั้งสภาวะปัจจุบันยังไม่มีวิกฤตใหญ่เฉกเช่นในอดีต อาทิCOVID-19
ขณะที่วันนี้ติดตาม การประชุมแพทยสภาเกี่ยวกับวาระพิจารณากรณียับยั้งมติพักใบอนุญาตหมอ ปม “ทักษิณ”นอนรพ.ชั้น 14 ซึ่งประเด็นสำคัญของการลงมติวันนี้:
• ต้องใช้เสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด 69 คน (คืออย่างน้อย 46 เสียง) เพื่อ ยืนยันมติเดิมในการลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน
• หากไม่ได้เสียงถึงเกณฑ์นี้ จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาใหม่ตามข้อบังคับแพทยสภา
ดังนั้นในช่วงก่อนการมีมติของคณะกรรมการแพทยสภา คาดทำให้ SET INDEX แกว่งผันผวนแบบไร้ VOLUMEเช่นเดิม โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ไว้ที่ระดับ 1136-1150 จุด
แนะหุ้นนอกสายตา ใคร “ไม่ซื้อ” แต่บริษัทกับผู้บริหาร “ซื้อ”
แม้ SET INDEX จะย่อตัวลงมากว่า 90 จุด ในช่วง เกือบ 1 เดือน และสัปดาห์นี้มูลค่าซื้อขายเบาบาง เหลือเพียง 2 หมื่นกว่าล้านบาทต่อวัน เพราะนักลงทุนรอความชัดเจนเรื่องประเด็นการเมือง แต่ในทางกลับกันช่วง SET ลงมา 90 จุด ในช่วงเกือบ 1 เดือน กลับเห็นการทยอยซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนหนาแน่นขึ้นเฉลี่ย 352 ล้านบาทต่อวัน (มี
สัดส่วนขยับขึ้นมาเกิน 1% ของมูลค่าซื้อขาย มากกว่าระดับปกติเฉลี่ย 0.5% ของมูลค่าซื้อขาย) อีกทั้งยังมีการซื้อหุ้นจากผู้บริหารเฉลี่ย 50 ล้านบาทต่อวัน
กลยุทธ์แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐาน ที่บริษัททยอยซื้อคืนในช่วง 1 เดือนที่ SET ย่อตัวลงมากว่า 90 จุด อย่างCPALL, TU, PTT, SPALI, SJWD, STECON และหุ้นที่ผู้บริหารทยอยซื้อสะสมเช่นกัน อย่าง KCE, GULF, SPALI,BDMS, CRC, SAWAD, PLANB, BH
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์