สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 มิถุนายน 2568)--------กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ไตรมาสแรกปี 2568 ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 22,001.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 660,037.80 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 79.75% เติบโต 19.04% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน กระทรวงพาณิชย์เน้นย้ำการใช้สิทธิประโยชย์ภายใต้ FTA เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขยายโอกาสทางธุรกิจไทยได้ไกลกว่าเดิม
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลการใช้สิทธิ FTA ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลง FTA รวม 22,001.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 79.75% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 19.04% โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 7,895.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.07% อันดับสองเป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 4,926.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 90.92% อันดับสามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 3,908.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 87.11% อันดับสี่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 74.89% อันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,346.20ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 56.85% ภาพรวมสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ FTA ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ (1) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,655.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2) ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน
มูลค่า 1,588.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 857.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 760.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (5) น้ำตาลที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 473.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางอารดาฯ กล่าวว่า จาก FTA ทั้งหมด 12 ฉบับที่กรมการค้าต่างประเทศติดตามการใช้สิทธิฯ ในปัจจุบัน มี FTA ที่มีอัตราการใช้สิทธิฯ เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 รวม 6 ฉบับ ได้แก่ (1) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ส่งออกไปอินเดีย) เพิ่มขึ้น 201.64% (2) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพิ่มขึ้น 21.27% (3) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ส่งออกไปจีน) เพิ่มขึ้น 17.64% (4) ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เพิ่มขึ้น 7.69% (5) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ส่งออกไปเกาหลี) เพิ่มขึ้น 4.31% และ (6) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เปรู เพิ่มขึ้น 0.33% ซึ่งการใช้สิทธิ FTA ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด เป็นผล
มาจากภาพรวมการส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จาก 70,753.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 81,532.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ FTA สูง 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำตาลที่ได้จากอ้อย เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง ไก่ที่ปรุงแต่ง ผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด) และทุเรียนสด มูลค่ารวม 4,775.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 21.71% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือติดเพดาน มูลค่ารวม 17,225.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 78.29% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด
นางอารดาฯ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการค้าและขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย มุ่งเน้นการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการภายใต้โครงการส่งเสริม SMEs ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล ในช่วงวันที่ 10-12 มิถุนายน 2568 ในพื้นที่ภาคอีสาน ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ ภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมการอภิปรายเรื่อง “เทคนิคการต่อยอดธุรกิจด้วย FTA” และการบรรยาย เรื่อง “การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA” กระทรวงพาณิชย์เน้นย้ำว่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างแต้มต่อในการส่งออก ช่วยลดภาษีนำเข้า ลดต้นทุนทางการค้า ทำให้สินค้าส่งออกจากไทยน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐได้เจรจาจัดทำ FTA ฉบับใหม่กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย-ศรีลังกา ไทย-สมาคม
การค้าเสรียุโรป หรือ เอฟต้า ไทย-ภูฏาน โดยการใช้สิทธิฯ ผ่าน FTA ทั้งหมดนี้ จะช่วยขยายตลาดการส่งออกใหม่ๆ และลดการพึ่งพาตลาดเดียวในการส่งออก