สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6 มิถุนายน 2568 )-----InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2568 คาดตลาดแกว่งตัวไซด์เวย์ คาดการปรับตัวขึ้นยังจำกัดที่แนวต้าน 1145/1150 ส่วนการอ่อนตัวลงหากปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า 1135 จะกลับมาปรับตัวลงรอบใหม่ มีแนวรับถัดไปที่ 1127/1120 โดยเฉพาะ 1120 เป็น Gap ที่เปิดไว้ ปกติจะมีช่วงชะลอการลงและทำหน้าที่เป็นแนวรับหลัก ปัจจุบันสัดส่วน DELTA ต่อ SET50 อยู่ที่ 11.70% มีโอกาสลดลง การเจรจาระหว่างทรัมป์และสีจิ้นผิงมีแนวโน้มดี แต่ยังไม่ได้มีรายละเอียดในการลดภาษีนัก
ประเด็นสำคัญ
• ปธน. ทรัมป์ได้ต่อสายพูดคุยกับ ปธน. สี จิ้นผิง เพื่อเจรจาการค้าเป็นเวลากว่า 90 นาที และเผยว่าการพูดคุยเป็นไปในทางที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย โดยมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง Rare Earth และได้รับเชิญไปเยือนจีน
• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.00% เป็นไปตามที่ตลาดคาด หลัง CPI ยูโรโซนได้ชะลอลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายแล้ว และได้ปรับลดคาดการณ์ ศก. ปี 2568 ลงสู่ 0.9% และ 1.1% ในปี 2569 แต่ส่งสัญญาณหยุดการลดดอกเบี้ยในช่วงต่อจากนี้
• จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้นสู่ 2.47 แสน ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2567 และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้
• ติดตามตัวเลข NFPs สหรัฐที่จะรายงานในคืนนี้หลัง ADP Employment ก่อนหน้านี้ออกมาต่ำกว่าคาด เบื้องต้นตลาดคาดว่าจะลดลงจากเดือนก่อนที่เพิ่ม 1.77 แสนตำแหน่งเหลือ 1.3 แสนตำแหน่ง
• สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO) เผยว่ามาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของ ปธน. ทรัมป์ จะส่งผลให้ผลผลิตทาง ศก. ของสหรัฐฯ ลดลง, หนุนต้นทุนผลิตสินค้าสูงขึ้น ดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.4% ต่อปีใน 2568-69 แม้จะช่วยลดขาดดุลงบประมาณได้ถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 ปี
• สนพ. เผยได้เตรียมความพร้อมรองรับความต้องการไฟฟ้าปริมาณสูงจาก Data Center ผ่านการปรับแผน PDP โดยคำนึงถึง ความมั่นคงด้านพลังงาน, สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2580, ค่าไฟฟ้าไม่เกิน 4 บาท, รอง ศก. เติบโต 2.99% และ ส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจน และ SMR
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัว Sideways โดยมี Upside จำกัดที่บริเวณ 1200+/- จากความผันผวนที่ยังคงมีอยู่จากกังวลความไม่แน่นอนของการดำเนินมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าช่วงต้น เม.ย. ที่ผ่านมาดัชนีได้ปรับลงใกล้ระดับวิกฤติ (Downside ที่ 1,032 จุด) ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว ขณะที่ในประเทศคาดจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเมืองไทยมากขึ้นเพราะเมื่อจบการพิจารณางบประมาณส่วนใหญ่มักจะมีการปรับ ครม. ตามมา ซึ่งคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งนี้เรายังคงมุมมองว่า หากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1120-1100 ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”
แนวรับ-ต้าน
1127/1120– 1145/1150
ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสแกว่งตัว Sideways จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีทรัมป์ ขณะที่คาดว่าการเมืองในประเทศจะชัดเจนขึ้นหลังสิ้นสุดการพิจารณางบประมาณ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีม หลักและ 2 ธีม เทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป พร้อมคาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป อีกทั้งเราแนะนำ Outperform แนะนำ PTT KTB BBL HMPRO
2. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG AP
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE CPALL BTG CPF
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการรอดูความชัดเจนของการดำเนินมาตรการภาษีของ ปธน. ทรัมป์ แนะนำหุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ BCH CPALL GULF MTC OR TRUE แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร โดยคาดหวังจะมีความคืบหน้าการเจรจาทางการค้า แนะนำหุ้นที่คาดจะฟื้นตัวได้เร็ว ได้แก่ AMATA AOT MINT PTT TU WHA
Daily top picks
PTTGC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำไรปกติ 2Q68 จะได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจโอเลฟินส์และโพลิเมอร์ Valuation ปัจจุบันที่ EV/EBITDA 6 เท่า และ PBV 0.3 เท่า (0.6 เท่าหลังหักค่าความนิยมและสินทรัพย์ไม่มีตัวตน) ถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคที่ 9 เท่า และ 0.7 เท่า
KTB: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัวตามภาพรวมของตลาด เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร มี Upside จากการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพิ่ม และ Credit Cost สูงสุดใน1Q68 แล้วมีโอกาสลดลงในช่วงที่เหลือของปี ในขณะที่ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และมี LLR Coverage สูง