กลับมาไร้ปัจจัยใหม่ประกอบกับศาลอุทรณ์สหรัฐฯประกาศให้นโยบายภาษีของทรัมป์กลับมาใช้ได้ชั่วคราว
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 117 จุด (+0.28%) ขานรับผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์ของ NVIDIA รวมถึงปัจจัยหนุนที่ศาลสั่งระงับภาษีการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.2% นักลงทุนรอติดตามผลประชุม OPEC+ ในวันเสาร์นี้
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.4 แสนรายมากกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.29 แสนราย (2) การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 1Q25 (ประมาณการครั้งที่สอง) พบว่าหดตัว -0.2%QoQ แต่ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ -0.3%QoQ หากไปดูในรายละเอียดจะพบว่าสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าที่ขยายตัวมากถึง 42%QoQ สวนทางกับการส่งออกที่ขยายตัวเพียง 2.4%QoQ ด้านการบริโภคก็ขยายตัวเพียง 1.2%QoQ แต่สินค้าคงทน (-3.8%QoQ) แย่ลงจาก 4Q24 ที่ขยายตัว 12%QoQ อย่างไรก็ตามการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 24%QoQ เร่งขึ้นจาก 4Q24 ที่ -5.6%QoQ โดยรวมแล้วทำให้เมื่อคืนที่ผ่านมา US Bond Yield ลดลง ค่าเงิน Dollar Index อ่อนค่า นอกจากนี้ในช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา Bloomberg ได้รายงานว่าศาลอุทรณ์ได้เสนอให้ภาษีทรัมป์กลับมาบังคับใช้ชั่วคราว พร้อมนัดไต่สวนอีกครั้งในช่วง 5 และ 9 มิ.ย. ด้านปัจจัยในประเทศยังไม่มีอะไรที่มีนัยยะสำคัญ แม้เมื่อวานนี้จะมีการจัดงาน "สวัสดี หนีห่าว" เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ไทยจีนทางการทูต 50 ปี พร้อมเดินหน้ากระตุ้นนักท่องเที่ยวจีนในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตร จากนี้รอติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย หากมีสัญญาณที่ดีขึ้นก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นรวมไปถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยที่เกิดขึ้นวานนี้คือยังคงอ่อนแอ ด้วยการปิดบวกเพียง (+0.28%) สวนทางกับประเทศอื่นๆที่ปิดบวกเฉลี่ย 0.7 - 1% สะท้อนว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจกับทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจไทย แม้ Valuation หุ้นไทยจะไม่แพงก็ตาม คืนนี้รอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.2%YoY และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) คาดไว้ที่ 2.5%YoY หากรายงานต่ำกว่าคาดการณ์จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจากการคลายกังวลดอกเบี้ย วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1150 – 1170 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเช่นเดิมเพราะตลาดหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยหนุนและสถานการณ์โลกก็ยังไม่นิ่งจากการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้อาจเลือกเก็งกำไรในกลุ่ม Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) สื่อสาร (ADVANC) กลุ่มอาหาร (CPF GFPT) เพราะเป็นกลุ่มที่โอกาสถูกปรับลดประมาณการต่ำสุด
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus's +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง
CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท)
แนวโน้มผลประกอบการช่วง 2Q25 ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงได้จาก ผลดีของราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสุกรที่ไทยและเวียดนามหลังจากมีโรคระบาดและสภาพอากาศที่ผันผวน สวนทางกับต้นทุนการเลี้ยงอย่างราคากากถั่วเหลืองที่ลดลงจากผลผลิตในบราซิลที่ออกมา นอกจากนี้หากรัฐมีการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะเป็นผลดีอีกทาง