ภาษีชิ่งไปชิ่งมา ใจนักลงทุนตุ๊บๆตั๊บๆ
TOP PICK BDMS / CK / BTG

 

EXTERNAL FACTOR

• วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเฉลี่ยราว 0.4% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการพิจารณาคำตัดสินของศาลการค้าสหรัฐฯ (US TRADE COURT) ใน
การระงับเก็บภาษีส่วนใหญ่ หลังรัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินในทันที
• ส่าสุดศาลอุทธรณ์ได้ “รับคำร้อง” ของรัฐบาลทรัมป์ และมีคำสั่งระงับคำสั่งศาลการค้าฯ ชั่วคราว ทำให้รัฐบาลทรัมป์สามารถเรียกเก็บ TARIFF ต่อไป ในระหว่างที่ศาลกำลัง
พิจารณาคดี
• กำหนดการถัดไป ศาลอุทธรณ์ได้ศาลการค้าฯ - รัฐบาลทรัมป์ รีบส่งเอกสารด่วนภายในวันที่ 9 มิ.ย. 68 เพื่อพิจารณาคำร้องขอระงับคำตัดสินเดิมอย่างถาวร

INTERNAL FACTOR
• มุมของเศรษฐกิจไทย ธปท.คาดการณ์ GDP GROWTH ปี 68 อยู่ระดับ 1.3% และ2.0% ตามข้อสมมติอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่มีต่อไทย 18% และ 10% ตามลำดับแต่หากไทยไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษี ตามคำสั่งของศาลการค้าสหรัฐฯ คาดลดDOWNSIDE ต่อเศรษฐกิจไทย ให้อยู่ระดับเกิน 2% ได้
• ฝ่ายวิจัยฯ มองว่า กนง. อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้ง 0.25%ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังชะลอตัวและติดลบอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 1 ปี อยู่ที่ 1.55% เท่านั้น

 

 

 

INVESTMENT STRATEGY
• ประเด็นภาษีตอบโต้กลับมากดดันในก่อนวันหยุดยาว พร้อมกับเป็นวันที่ MSCI จะ REBALANCE ประจำไตรมาสพอดี คาดมูลค่าซื้อขายของ SET ระหว่างวันเบาบาง แต่น่าจะเห็นการปรับพอร์ตของกองทุนต่างชาติในช่วงท้ายก่อนตลาดปิด ช่วยเร่งมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นอาจแตะ 5 หมื่นล้านบาทในวันนี้ได้
• หลังจาก MSCI ประกาศหุ้นไทยเข้าออกถึงปัจจุบัน 14 –29 พ.ค. SET INDEX ปรับตัวลงมาแล้ว 50 จุด หรือ -4.15% สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ มาระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นความผันผวนวันนี้อาจเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเพิ่มหวังฟื้นตัวต่อในสัปดาห์หน้า ตราบที่งบประมาณปี 2569 วาระ 1 ผ่านไปด้วยดี แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีIVL, CPF, PTT, CPALL, WHA, CK, TOP เป็นต้น

 

ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ กดดันตลาดหุ้นดีใจได้ไม่สุด
วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเฉลี่ยราว 0.4% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการพิจารณาคำตัดสินของศาลการค้าสหรัฐฯ (US TRADE COURT) ในการระงับเก็บภาษีส่วนใหญ่ ที่ขัดต่อกฎหมาย IEEPA ได้แก่ภาษี พื้นฐานทั่วโลก (WORLDWIDE TARIFF) 10%, ภาษีศุลกากรตอบโต้ รายประเทศ, ภาษีแคนาดา – เม็กซิโก25%, ภาษีจีน 20% (FENTANYL) หลังรัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินในทันที

ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐระบุว่า คำตัดสินของศาลการค้าฯ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการทางการทูตของรัฐบาล และแทรกแซงอำนาจเฉพาะตัวของ ปธน. ทรัมป์ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ขณะที่ส่าสุดศาลอุทธรณ์ได้“รับคำร้อง” ของรัฐบาลทรัมป์ และมีคำสั่งระงับคำสั่งศาลการค้าฯ ชั่วคราว ทำให้รัฐบาลทรัมป์สามารถเรียกเก็บTARIFF ต่อไป ในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาคดีกำหนดการถัดไป ศาลอุทธรณ์ได้ศาลการค้าฯ - รัฐบาลทรัมป์ รีบส่งเอกสารด่วน ภายในวันที่ 9 มิ.ย. 68 เพื่อพิจารณาคำร้องขอระงับคำตัดสินเดิมอย่างถาวร และรอคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ซึ่งคาดว่าจะกินไวลาไปอีกระยะหนึ่ง และอาจเห็นอาการ OVERHANG

• กรณีศาลอุทธรณ์ตัดสิน “ระงับคำสั่งศาลค้าฯ ถาวร”จะทำให้รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บ TARIFF ได้ต่อไป
• กรณีศาลอุทธรณ์ตัดสิน ““ยกเลิก” ระงับคำสั่งศาลค้าฯ” จะทำให้รัฐบาลทรัมป์ “ไม่” สามารถเรียกเก็บTARIFF ต่อไป พร้อมกับคืนภาษีที่เรียกเก็บไปก่อนหน้า และอาจนำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาได้

อย่างไรก็ตาม กรณีที่รัฐบาลทรัมป์ยังอยากเดินหน้าเก็บ TARIFF ต่อไป อาจเห็นใช้แนวทางอื่นๆ แทน อาทิ ผ่านกระบวนการในรัฐสภา (การโหวตของสภาคองเกรส), การใช้กฎหมายการค้าที่เกี่ยวข้อง (อาทิ SECTION 232, 301)

 

อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตาคือ ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยล่าสุดสหรัฐฯ เผย GDP GROWTH ใน 1Q68หดตัว -0.2%QOQ อีกทั้งตัวเลขว่างงานยังพุ่งเกินคาด ส่งผลให้ FEDWATCH TOOL คาดโอกาสลดดอกเบี้ยเดือน9 มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 52.8% (เดิม 47.4%)

 

ปัจจัยในประเทศมีอะไรบ้างที่น่าติดตาม ... มาดูกัน
หลังจากที่ศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งระงับภาษีทั่วโลกของทรัมป์ อย่างไรก็ตามล่าสุดศาลศาลอุทธรณ์มีคำสั่งระงับศาลการค้าฯ ชั่วคราว(รายละเอียดหัวข้อด้านบน) ซึ่งทำให้สินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ เกิด OVERHANG ช่วงสั้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ด้วย ขณะที่ในมุมของเศรษฐกิจไทย ธปท.คาดการณ์ GDP GROWTH ปี 68 อยู่ระดับ 1.3% และ 2.0%ตามข้อสมมติอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่มีต่อไทย 18% และ 10% ตามลำดับ แต่หากไทยไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตามคำสั่งของศาลการค้าสหรัฐฯ(ศาลชั้นต้น) คาดลด DOWNSIDE ต่อเศรษฐกิจไทย ให้อยู่ระดับเกิน 2% ได้ และอาจทำให้ กนง.ไม่รีบเร่งในการลดดอกเบี้ยเฉกเช่นในอดีต โดยฝ่ายวิจัยฯมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย(กนง.) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้ง 0.25% ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังชะลอตัวและติดลบอย

 

ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 1 ปี อยู่ที่ 1.55% ลดลง 10BPS.จากสิ้นเดือนเม.ย.68 และต่ำกว่าระดับดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันถึง 20 BPS. ซึ่งการทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องของ BOND YIELD ไทยอาจกดดันค่าเงินบาทให้ปรับตัวอ่อนค่าลงได้ในช่วงสั้น และอาจทำให้ SET INDEX ยังไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 1170 จุดในวันนี้

 

ภาษีกลับไปกลับมา + MSCI REBALANCE + หยุดยาวกดดันตลาดวันนี้
วันนี้ประเด็นภาษีตอบโต้กลับมากดดันตลาดหุ้นก่อนวันหยุดยาว พร้อมกับเป็นวันที่ MSCI จะ REBALANCE ประจำไตรมาสพอดี คาดมูลค่าซื้อขายของ SET ระหว่างวันเบาบาง แต่น่าจะเห็นการปรับพอร์ตของกองทุนต่างชาติในช่วงท้ายก่อนตลาดปิด ช่วยเร่งมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นเด่น โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินจากปกติมูลค่าซื้อขายในวันที่ MSCIREBALANCE มักจะเพิ่มขึ้นมากกว่าวันก่อนหน้าราว 48% และวันก่อนหน้ามีมูลค่าซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท อาจเร่งหนุนให้มูลค่าซื้อขายเฉพาะวันนี้อาจกลับมาเกิน 5 หมื่นล้านบาทได

 

ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทย หลังจาก MSCI ประกาศหุ้นไทยเข้าออกถึงปัจจุบัน 14 – 29 พ.ค. SET INDEX ปรับตัวลงมาแล้ว 50 จุด หรือ -4.15% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการปรับพอร์ตของกองทุนต่างประเทศ การเมืองภายใน และการเมืองต่างประเทศ มาระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นความผันผวนวันนี้อาจเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเพิ่ม หวังฟื้นตัวต่อในสัปดาห์หน้า ตราบที่งบประมาณปี 2569 วาระ 1 ผ่านไปด้วยดี แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี IVL, CPF, PTT, CPALL, WHA, CK, TOP เป็นต้น

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์