สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 พฤษภาคม 2568)---------บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Bank of America Securities และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดงาน “SET Singapore Roadshow 2025” เมื่อวันที่ 22–23 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ประเทศสิงคโปร์ เพื่อถ่ายทอดศักยภาพของภาคธุรกิจไทยและนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาครัฐต่อกลุ่มนักลงทุนสถาบันชั้นนำในสิงคโปร์ งานนี้สะท้อนบทบาทของ บล.เกียรตินาคินภัทร ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทยในการเป็นสะพานเชื่อมโยงตลาดทุนไทยกับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมผลักดันความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยผ่านมุมมองจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทยชั้นนำ 7 แห่ง ได้แก่ KKP, CPN, BBL, MINT, TRUE, TTB และ WHA เข้าร่วมนำเสนอทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568
งานโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ ได้แก่ นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายพลช หุตะเจริญ ผู้อำนวยการกองพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และรักษาการที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ร่วมเสวนาบนเวทีในหัวข้อ "Reviving the Investment Engine" เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปนโยบายสำคัญ อาทิ การขยายเส้นทางรถไฟเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 การขยายสนามบินอู่ตะเภา และโครงการแลนด์บริดจ์ที่เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เช่น การออกกฎหมายรองรับ Entertainment Complex การจัดงานระดับโลก (F1 และคอนเสิร์ตระดับนานาชาติ) และการลงทุน 1-1.5 หมื่นล้านบาทในโครงการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาทที่เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชนบท สนับสนุน SME และการส่งออก ในด้านวินัยการคลัง รัฐบาลยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนภายใต้เพดานหนี้สาธารณะปัจจุบันที่ไม่เกิน 70% ต่อ GDP พร้อมเปิดรับแหล่งเงินทุนใหม่ผ่านการออก “G Token” บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะเดียวกันรัฐบาลเตรียมเดินหน้าปฏิรูประบบการลงทุนจากต่างประเทศและนโยบายการออกวีซ่า การเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป รวมถึงการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และแผนปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และแสดงศักยภาพของตลาดทุนไทยภายใต้ความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ โดยระบุว่า แม้สภาวะตลาดโลกจะเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดทุนไทยยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติในฐานะแหล่งลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย
เพื่อสะท้อนภาพรวมศักยภาพของภาคธุรกิจไทยภายใต้บริบทเศรษฐกิจดังกล่าว บริษัทจดทะเบียนชั้นนำของไทยจำนวน 7 บริษัท ได้แก่ KKP, CPN, BBL, MINT, TRUE, TTB และ WHA ได้เข้าร่วมนำเสนอทิศทางธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และการปรับตัวต่อสภาวะตลาด โดยมีสาระสำคัญของแต่ละบริษัทดังนี้
• KKP มุ่งสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านการปล่อยสินเชื่อคุณภาพสูง ขยายรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และนวัตกรรมดิจิทัล แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายในกลุ่มยานยนต์ KKP จะรักษามาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ พร้อมผลักดันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง พัฒนาเทคโนโลยี และขยายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าระยะยาว
• CPN รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกแข็งแกร่ง โดยรายได้ค่าเช่า (same-store rental revenue) เพิ่มขึ้นราว 8% และอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นแม้อยู่ในช่วงปรับปรุงโครงการใหม่สำคัญ ได้แก่ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (ส.ค. 2568), เซ็นทรัล กระบี่ (ต.ค. 2568) และอีก 4 โครงการในปี 2569 พร้อมเป้าหมายขยายพื้นที่เช่าอีก 100,000 ตร.ม./ปี
• BBL มีความระมัดระวังต่อภาพเศรษฐกิจ แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกแม้เผชิญความเสี่ยงจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว และปัญหาภาคการส่งออกชะลอตัว โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 3–5% จากสินเชื่อภาคธุรกิจ ขณะที่ NIM จะลดลงเล็กน้อยเป็น 2.8-2.9% จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง BBL มุ่งควบคุมต้นทุนและทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อบริหารความเสี่ยงของสินเชื่อในกลุ่มเปราะบาง
• MINT มองบวกอย่างระมัดระวัง คาดว่า RevPAR จะเติบโตทั่วทุกภูมิภาคในปี 2568 จากดีมานด์ที่แข็งแกร่งและมูลค่าแบรนด์ที่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทตั้งเป้าลดหนี้ในครึ่งหลังของปี โดยยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตเลขหลักเดียวระดับสูง และกำไรโต 15–20%
• TRUE พลิกกลับมาทำกำไรในปีนี้หลังการควบรวมกิจการ เน้นการสร้างมูลค่าผ่านการผนึกกำลังร่วมกัน (synergy) การควบคุมต้นทุน และการลงทุนใน AI ตั้งเป้ารายได้บริการ (ไม่รวม IC และ Roaming) โต 2–3% และ EBITDA (Earnings Before Interest Taxes Depreciation Amortization) โต 8–10% พร้อมลงทุน 2.8–3 หมื่นล้านบาท และจ่ายปันผลมากกว่า 50% ของกำไร
• TTB เน้นสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นระยะยาวผ่านการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอที่ 60% (6.5% dividend yield) และแผนซื้อหุ้นคืนในระยะกลาง
• WHA มีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจ แม้เผชิญความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ พร้อมชูความคล่องตัวในการปรับตัวต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
งานนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในสิงคโปร์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากกองทุนชั้นนำกว่า 20 แห่ง ภายในงานนักลงทุนยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการ Jump+ (value-up initiatives) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืน รวมถึงเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพคล่องของตลาด (market liquidity) และมาตรการกำกับ short-selling ให้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนตลอดจนส่งเสริมการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์