สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (27 พฤษภาคม 2568 )-------กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ตัวเลขจดทะเบียนตั้งใหม่และจดเลิกเดือนเม.ย.68 และ 4 เดือนแรกของปี 68 ยังอยู่ในวงรอบปกติของการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยมีธุรกิจทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาทที่จัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนเม.ย.68 จำนวน 2 ราย ทุนจดทะเบียนรวมกันทั้งสิ้น 16,520 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังคงแข็งแรงอยู่ และการลงทุนของต่างชาติที่ยังเพิ่มเติมมากขึ้นทุกเดือน โดย 4 เดือนแรกมีการลงทุนแล้ว 363 ราย ทุนจดทะเบียน 57,860 ล้านบาท ทั้งนี้ จับตามองธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ กำลังมาแรงในประเทศไทย 5 ปี ย้อนหลังสร้างรายได้และกำไรเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง ฝ่าวิกฤตโควิด-19 และสวนทางกับจำนวนประชากรที่ลดลง ทำให้เกิดมิติใหม่ทางการศึกษาในประเทศไทยที่ยกระดับคุณภาพได้ทัดเทียมนานาชาติ ทิ้งท้าย...เตือนนิติบุคคลให้เร่งส่งงบการเงินรอบปี 2567 ก่อนครบกำหนดในวันที่ 4 มิ.ย.68 เพื่อลดความแออัดและความผิดพลาดที่อาจเกิดในช่วงท้ายของการนำส่งงบการเงิน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนเมษายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,325 ราย ลดลง 205 ราย (-3.14%) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 (6,530 ราย) และทุนจดทะเบียนรวม 32,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,870 ล้านบาท (17.86%) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 (27,272 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 502 ราย ทุนจดทะเบียน 988 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 439 ราย ทุนจดทะเบียน 1,569 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 264 ราย ทุนจดทะเบียน 469 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.94%, 6.94% และ 4.17% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนเมษายน 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในเดือนเมษายน 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย มูลค่าทุน จดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 16,520 ล้านบาท ได้แก่ 1) บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,940 ล้านบาท ประกอบกิจการเข้าเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลใดๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศเพื่อประโยชน์ของบริษัท และ 2) บจ.อิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าทุนจดทะเบียน 1,580 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์จารบี และสินค้าอื่นๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานคล้ายคลึงกัน
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวน 30,148 ราย ลดลง 1,385 ราย (-4.39%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (31,533 ราย) ทุนจดทะเบียน 112,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,849 ล้านบาท (17.70 %) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (95,212 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,394 ราย ทุนจดทะเบียน 5,102 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,047 ราย ทุนจดทะเบียน 7,834 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,237 ราย ทุนจดทะเบียน 2,428 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.94%, 6.79% และ 4.10% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 4 เดือนแรกของปี 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ 4 เดือนแรกของปี 68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 7 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 37,499 ล้านบาท
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนเมษายน 2568 มีจำนวน 814 ราย เพิ่มขึ้น 4 ราย (0.49%) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 (810 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,131 ล้านบาท ลดลง 965 ล้านบาท (-18.94%) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 (5,097 ล้านบาท) สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 65 ราย ทุน 110 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 47 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 416 ล้านบาท และ3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 30 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.99%, 5.77% และ 3.69%จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนเมษายน 2568 ตามลำดับ
การจดทะเบียนเลิก 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวน 3,921 ราย เพิ่มขึ้น 302 ราย (8.34%) เมื่อเทียบกับ 4 เดือนแรกของปี 2567 (3,619 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 15,990 ล้านบาท ลดลง 1,050 ล้านบาท (-6.16%) เมื่อเทียบกับ 4 เดือนแรกของปี 2567 (17,040 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 372 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 652 ล้านบาท2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 184 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 912 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 159 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 391 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.49%, 4.69% และ 4.06% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 4 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ ทั้งนี้ ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 มีนิติบุคคลเลิกประกอบกิจการที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย รวมทุนจดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 4,128 ล้านบาท
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,994,979 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 947,791 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.34 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 748,685 ราย หรือ 78.99% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมดทุนจดทะเบียนรวม 16.53 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 197,616 ราย หรือ 20.85% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด1,490 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.38 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 512,359 ราย ทุนจดทะเบียน 12.85 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 310,856 ราย ทุน 2.57 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 124,576 ราย ทุน 6.92 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.06%, 32.80% และ 13.14% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
เมื่อวิเคราะห์การจัดตั้งธุรกิจ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ที่ลดลง 4.39% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จะพบว่าธุรกิจที่มีการจัดตั้งลดลง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ธุรกิจขายปลีกสินค้าในร้านทั่วไป และธุรกิจตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น จากความผันผวน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้สินครัวเรือนของไทย ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ขณะที่ธุรกิจบางประเภทยังคงมีการจัดตั้งเพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่น ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป ธุรกิจขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจโรงพยาบาล และธุรกิจขายยานยนต์เก่า เป็นต้น สืบเนื่องจากกิจกรรมและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล เทรนด์เรื่องสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่
ในส่วนของการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มค.-เม.ย.) ที่เพิ่มขึ้น 8.34% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากธุรกิจบางประเภทมีการจดเลิกเพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านบริหารจัดการ ธุรกิจขายปลีกสินค้าในร้านค้าทั่วไป และธุรกิจตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องปรับตัวให้ไวตามพฤติกรรมของผู้บริโภค และกลไกการแข่งขัน
การลงทุนของชาวต่างชาติ 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568)
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวน 363 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 87 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 276 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 57,860 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 110 ราย (43%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 2,902 ล้านบาท (5%) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 71 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 17,255 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
2. สหรัฐอเมริกา 51 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุน ในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการคลังสินค้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
3. สิงคโปร์ 45 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 9,126 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนใน ธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ ตลอดจนการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการปฏิบัติการของงานระบบควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลสำหรับโครงการรถไฟฟ้า ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
4. จีน 43 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 6,471 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
5. ฮ่องกง 40 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,766 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ DATA CENTER, CLOUD SERVICES และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 108 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 31 ราย (40%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 31,363 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 32 ราย ลงทุน 10,008 ล้านบาท จีน 25 ราย ลงทุน 3,867 ล้านบาท สิงคโปร์ 10 ราย ลงทุน 5,934 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 41 ราย ลงทุน 11,554 ล้านบาทธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่พิมพ์ (Mould) ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการเคลือบผิวผลิตภัณฑ์โลหะ ธุรกิจบริการให้ใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เคมีภัณฑ์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลหะ ชิ้นส่วนเครื่องจักร ชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์รถยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น
เจาะลึก 'ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ' ในไทย แข็งแกร่งเทียบสากล
เดือนพฤษภาคมของทุกปีถือเป็นช่วงเวลาเปิดภาคเรียนใหญ่ของนักเรียนในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ปกครองมีความพิถีพิถันในการเลือกโรงเรียนให้กับบุตรหลานมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่และมีรายได้สูงได้หันมาเลือกโรงเรียนนานาชาติภายในประเทศเป็นทางเลือกหลักแทนการส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติในไทยมีมาตรฐานการศึกษาที่สอดคล้องกับระดับสากลในค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าและยังสามารถดูแลบุตรหลานได้ใกล้ชิด สร้างความอบอุ่นได้เหมือนเดิม
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า 'ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ' ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ปกครองที่ต้องการมอบการศึกษาคุณภาพสูงให้กับบุตรหลานประเทศไทย จากข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในธุรกิจหมวดการศึกษามีจำนวน 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633 ล้านบาท จดทะเบียนรูปแบบบริษัทจำกัด 6,717 ราย (89.43%) ทุนจดทะเบียน 48,172 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 790 ราย (10.52%) ทุนจดทะเบียน 1,117 ล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 4 ราย (0.05%) ทุนจดทะเบียน 1,345 ล้านบาท การลงทุนจากต่างชาติมีมูลค่ารวม 5,733 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุนใน 3 อันดับแรกคือ อังกฤษ 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท จีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท
กรมฯ ได้วิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างนิติบุคคลโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยจำนวน 20 ราย พบว่า 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563-2567 แม้จะมีช่วงที่ธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้นักเรียนต่างชาติต้องเดินทางกลับประเทศหรือต้องเรียนออนไลน์ทำให้รายได้ชะลอตัวลง แต่สถานการณ์คลี่คลายธุรกิจก็สามารถสร้างรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2565 สร้างรายได้ 5,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.57% สร้างกำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 55.75% ปี 2566 รายได้ก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 28.04% สร้างกำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 136.28% และปี 2567 รายได้โตต่อเนื่องเป็น 8,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 13.45% สร้างกำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 14.08%
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของผู้ปกครองยุคใหม่ที่มีกำลังทรัพย์ภายใต้ความคาดหวังที่ต้องการให้บุตรหลานเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทั้งด้านการเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรมที่หลากหลาย และทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต ส่งผลให้ธุรกิจนี้สามารถสร้างกำไรอย่างมหาศาลคือ 1) การให้ความสำคัญกับคุณภาพของครูต่อการดูแลนักเรียนที่มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 8:1 คน ซึ่งทำให้สามารถสอนและติดตามการเรียนของนักเรียนได้อย่างใกล้ชิด 2) มาตรฐานระบบการศึกษา โดยส่วนใหญ่โรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในประเทศไทยจะเป็นเครือข่ายจากต่างประเทศที่มีระบบการเรียนการสอนแบบสากล และ 3) การขยายตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือทำธุรกิจในประเทศไทย และมีครอบครัวติดตามมาด้วยจึงนิยมเลือกโรงเรียนนานาชาติเป็นที่เรียนให้กับบุตรหลาน สำหรับโอกาสในธุรกิจนี้ยังสามารถขยายต่อไปได้อีกมาก ทั้งการขยายธุรกิจไปสู่พื้นที่จังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมากอย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา หรือการพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับโลกในอนาคต อาทิ STEM Coding และ AI
เตือนนิติบุคคลเร่งส่งงบการเงิน รอบปีบัญชี 2567
ขณะนี้ได้เข้าสู่ช่วงท้ายของการนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชี 2567 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นี้ โดยปี 2568 มีนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ประมาณ 867,911 ราย ซึ่ง ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 มีนิติบุคคลที่นำส่งงบการเงินเข้าสู่ระบบแล้วประมาณ 332,448 ราย หรือคิดเป็น 38% ของผู้มีหน้าที่นำส่งทั้งหมด (ส่งผ่านระบบ e-Filing 331,753 ราย คิดเป็น 99.8% และส่งในรูปแบบกระดาษ 695 ราย คิดเป็น 0.2%) ยังขาดอยู่อีก 535,463 ราย คิดเป็น 62% ที่ยังไม่ได้นำส่ง
จึงขอเตือนให้นิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 และยังไม่ได้นำส่งงบการเงิน ขอให้เร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องรอจนถึงช่วงใกล้ปิดรับงบการเงินเพราะอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการนำส่งได้ และหากส่งล่าช้าหรือไม่นำส่งจะมีโทษปรับตามกฎหมายซึ่งจะทำให้ธุรกิจเสียต้นทุนทางธุรกิจโดยไม่จำเป็นและยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ รวมไปถึงถ้าขาดส่งงการเงินต่อเนื่องเกิน 3 รอบปีบัญชีจะถูกถอนทะเบียนเป็นนิติบุคคลร้างและขีดชื่อออกจากฐานข้อมูลนิติบุคคลจะทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อีกต่อไปด้วย ทั้งนี้ ขอให้นิติบุคคลเลือกใช้ช่องทางนำส่งงบการเงินผ่านระบบ DBD e-Filing ที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การเตรียมเอกสาร ลดการใช้กระดาษของนิติบุคคล และสามารถใช้ประโยชน์จากงบการเงินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ขณะเดียวกันภาครัฐยังนำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปประเมินทิศทางและวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจเพื่อส่งเสริม สนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศได้ทันทีอีกด้วย" อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย