Equality for All
STGT : บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย)
1Q25 กำไรดีกว่าตลาดคาด : STGT รายงานกำไร 424 ลบ. เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยจากปีก่อนกำไรเพียง 147 ลบ. ปริมาณขายอยู่ที่ 9,191 ล้านชิ้น แม้จะลดลง -9% y-y และ -12% q-q แต่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 0.71 บาท/ ชิ้น เพิ่มขึ้น +19% y-y และ +10% q-q แม้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเหลือ 81.2% จาก 85.9% ใน 4Q23 แต่จากต้นทุนวัตถุดิบ น้ำยางหดตัว -1% q-q น้ำยางสังเคราะห์ -7% q-q ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 13.0% จาก 8.4% ใน 1Q24 และ 8.2% ใน 4Q24
ค่าใช้จ่ายขาย และบริหาร ลดลง -3% y-y และ -18% q-q จากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง และค่าขนส่งลดลง รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการเร่งจ่ายคืนเงินกู้
ผู้ประกอบการไทยยังได้เปรียบในการส่งออกถุงมือไปสหรัฐ : จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างจีนทั้งแบบการแพทย์และไม่ใช่การแพทย์
เช่นเดียวกับมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) ในบราซิล ซึ่ง STGT ได้อัตราภาษีต่ำสุดที่ 1.86 เหรียญ/พันชิ้น ทำให้ STGT ได้เปรียบกับคู่แข่งจากจีน และมาเลเซียที่ได้รับอัตราภาษีที่สูงกว่า
ผลกระทบทางอ้อมของ Reciprocal Tariff : หลังการออกมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ทั้งในสหรัฐ และอื่นๆ ชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์อีกครั้ง แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบคือจีนซึ่งส่งออกไปสหรัฐไม่ได้หัน จึงหันไปส่งยังประเทศอื่นๆแทน ทำให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่เราเคยกังวลต่อประเด็นดังกล่าว
ขณะที่อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่ประกาศมาพบว่าไทยถูกคิดอยู่ที่ 36% ขณะที่คู่แข่งหลักอย่างมาเลเซียอยู่ที่ 24% ทำให้ไทยเสียเปรียบการส่งออกในตลาดดังกล่าวหากไม่สามารถต่อรองอัตราภาษีใหม่ได้ โดย STAGT มีสัดส่วนการขายในสหรัฐราว 30-35% ของการส่งออก
แนวโน้ม 2Q25 อ่อนลง q-q : จากการชะลอคำสั่งซื้อหลังการออกมาตรการภาษีตอบโต้คาดว่าปริมาณขายใน 2Q25 จะลดลงเหลือระดับ 9,000 ล้านชิ้น หดตัว -2% q-q แม้แนวโน้มราคาวัตถุดิบจะลดลงด้วย แต่หากราคาขายเฉลี่ยคาดจะลดลงมากกว่าต้นทุนที่ลดลงทำให้แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าทำให้คาดว่าแนวโน้มกำไรจะลดลงทั้ง y-y และ q-q
ผบห. ยังคงเป้าปริมาณขายปี 2025 : ไว้ดังเดิมที่ 42,000 ล้านชิ้น +9% y-y เรามองว่าตัวเลขดังกล่าวท้าทายมากขึ้นภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แม้ไทยจะมีความได้เปรียบในตลาดสหรัฐ แต่หากการเจรจาไม่สำเร็จ ไทยจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างมาเลเซียทำให้เราจะเสียเปรียบในตลาดดังกล่าว ขณะที่ตลาดอื่น ๆ อาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคามากขึ้นจากการที่จีนไม่สามารถแข่งขันในสหรัฐได้
ปรับประมาณการกำไรลงจากเดิม 6.5% : จากเหตุผลข้างต้น เราปรับคาดการณ์ยอดขายใหม่เป็น 26,219 ลบ. เพิ่มเพียง +5% y-y ภายใต้ปริมาณขาย 39,180 ล้านชิ้น +2% y-y (ต่ำกว่าเป้าบริษัท และน้อยกว่าสมมติฐานเดิม 4%) และราคาขายเฉลี่ยขึ้น +3% y-y เป็น 0.67 บาทต่อชิ้น ลดลงจากเดิม 1.4% จากแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น และปรับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม +50bps เป็น 9.6% จาก 1Q25 ซึ่งทำได้ดีกว่าคาด และอัตราภาษีจ่าย 10% จากผลของเกณฑ์ Global Minimum Tax (GMT) ทำให้กำไรปกติ 931 ลบ. -7% y-y
ยังต้องรอข้อสรุป
“แม้ว่าบ. ยังมีความได้เปรียบในการส่งออกไปสหรัฐและบราซิลจากอัตราภาษีที่ถูกกว่าคู่แข่ง แต่เริ่มเห็นมาเลเซียมีการใช้อัตรากำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นทำให้แนวโน้มการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีอาจดูยากขึ้น
ชอบน้อยลงจากผลกระทบระยะสั้นต่อการดำเนินงานในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจน แต่คาด STGT ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง 7.2% น่าพอใจ ยังน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
ESG Snapshot : STGT มุ่งมั่นสู่ "Sustainable Intelligence" และ "Clean World Clean Gloves" โดยเน้นการจัดการสิ่งแวดล้อม, พัฒนาพนักงาน, รับผิดชอบต่อสังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th