Market Wrap-Up
- SET วันที่ 23 พ.ค.68 ปิด +99 จุด อยู่ที่ 1,176.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 34,684 ลบ. ต่างชาติซื้อ 1,738 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 10 ลบ. รายย่อยขาย 511 ลบ. และสถาบันขาย 1,237 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 1,502 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น KBANK, SCB, KTB, CRC, TRUE และยอดขายหุ้น CPALL, MINT, BDMS, IVL, CPN มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 2,162 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ HMPRO, SIRI, CPN โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 44 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 63,623 สัญญา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 3,422 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.61%, S&P500 -0.67%, Nasdaq -1.00% และ ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -0.93% ปรับลดลงรับความเสี่ยงประเด็นสงครามการค้าที่สูงขึ้น หลังประธานาธิบดีทรัมป์เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตรา 50% และอาจเริ่มในวันที่ 1มิ.ย.68
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันศุกร์ (23 พ.ค.) ปิดปรับตัวลดลง และติดลบในรอบสัปดาห์นี้ (DJIA -2.47%WoW, S&P 500 -2.61%WoW และ Nasdaq -2.48%WoW) ถูกกดดันจาก US Bond Yield อายุ 10 ปี ยังอยู่ในระดับสูงเหนือ 5% และอายุ 30 ปี เหนือ 5% โดยนักลงทุนจับตาผลกระทบของร่างกฎหมายภาษีซึ่งผ่านการอนุมัติของสภาฯ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงมีความวิตกจากการที่ Moody’s ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ โดยระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยของสหรัฐ นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี บริการสื่อสาร และสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลดลง โดยหุ้น Apple ปรับลดลง -3% หลังทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับไอโฟนที่จำหน่ายในสหรัฐฯ แต่ผลิตในต่างประเทศ อีกทั้งมีแผนนำมาใช้กับผู้ผลิต smart phone รายอื่น รวมถึงเสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากEU ในอัตราสูงถึง 50% เนื่องจากการเจรจาไม่คืบหน้า อย่างไรก็ตามดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในช่วงเช้าวันนี้ (26 พ.ค.) โดยทรัมป์ตกลงที่จะเลื่อนกำหนดการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% จาก EU ออกไปเป็นวันที่ 9 ก.ค.จากเดิม 1 มิ.ย.หลังจากที่ได้พูดคุยกับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) โดยตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 26 พ.ค. เนื่องในวัน Memorial Day
- ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX 600 ปิดลดลงรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์หลังทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU ในอัตรา 50% ซึ่งจะส่งผลหุ้นในกลุ่มสินค้าหรูหรา ยา รถยนต์และธนาคารปรับตัวลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรปอายุ 10 ปีปรับตัวลง เช่นเดียวกับพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะลดลงเหลือ 60% ภายในเดือน ธ.ค.68 จากระดับ 1.72%
- ตลาดหุ้นเอเชียวันศุกร์ ดัชนีเซี่ยง -94% ดัชนีฮั่งเส็ง +0.24% นักลงทุนตอบรับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไปในระดับหนึ่งแล้ว ดัชนีนิกเกอิ +0.47% ได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของญี่ปุ่นก็ปรับตัวลดลง แต่ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากการแข็งค่าของเงินเยนกระทบหุ้นกลุ่มส่งออก ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่คืบหน้า โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจารอบที่ 3 ทำให้คณะเจรจาของญี่ปุ่นจะไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจารอบใหม่อีกครั้งในสัปดาห์นี้ และจะไปพบกันอีกในการประชุม G7 ที่แคนาดา
- SET สัปดาห์ก่อน -1.62%WoW ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 08 หมื่น ลบ./วัน -7.61%WoW ต่างชาติซื้อ 4.25 พันลบ. พอร์ตโบรกขาย 31 ลบ. รายย่อยขาย 540 ลบ. และสถาบันขาย 3.67 พันลบ. โดยดัชนีมีแรงชายกลุ่ม HELTH -7.94% โดยคาด 2Q68 งบยังไม่เด่น เป็น Low Season, กลุ่ม COMM -7.31% นักลงทุนกังวลในเรื่องกำลังซื้อในประเทศ, กลุ่ม ETRON -5.90% ตามหุ้นกลุ่มเทคฯโลก ผกผันกับ US Bond Yield 10 ปี ภาพรวม SET ยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่มีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมในประเทศจาก 1.รัฐบาลประกาศเลื่อนโครงการดิจิทัล วอลเล็ตเฟส3 2.สภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เหลือ +1.3-2.3% และ 3.จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วง 4 เดือนปีนี้หดตัว -0.26% ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อาจอยู่ที่ 35 ล.คน & เดิมคาด 37 ล.คน ส่วนประเด็นในประเทศที่ยังต้องติดตามในสัปดาห์นี้ 1.เจรจาการข้อตกลงการค้าสหรัฐ – ไทย 2.ตัเวลขส่งออก เดือน เม.ย.68 และ 3.การพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายปี 69 วงเงินไม่เกิน 3.78 ล.ลบ.ที่เข้าพิจารณาวาระแรกในวันที่ 28 – 30 พ.ค.
Daily Strategy
- ประเมินดัชนี SET Index วันนี้ Sideways ในกรอบ 1,165-1,185 จุด ดัชนีมีความผันผวนสูงจากมาตรการภาษีของทรัมป์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แม้เช้านี้มีปัจจัยบวกจากการเลื่อนเก็บภาษี EU ที่ 50% ออกไปแต่มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัดหลังตลาดรับรู้ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนไปพอสมควร ขณะที่ Earning Outlook ของ บจ.ในช่วงที่เหลือของปีอาจจะถูกกดดันจากแนวโน้ม GDP กำลังซื้อในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่าคาด กลยุทธ์การลงทุนแนะเลือกเล่นหุ้นรายตัวอย่าง KBANK, SCB, CPF, GFPT, TFG, OSP, SCC, IVL, TOP, GPSC, GULF
- GPSC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 37.50 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1 พันล้านบาท +14%QoQ, +32%YoY ดีกว่าคาด โดยกำไรที่ +QoQ เพราะผ่านช่วง low season ของการขายไฟฟ้า ขณะที่ SG&A ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Solar อินเดีย (Avaada) ทยอยดีขึ้น สำหรับกำไรที่ +YoY จากส่วนแบ่งกำไรโครงการ Hydro ไซยะบุรีที่ดีขึ้นตามปริมาณน้ำ ส่วนโครงการ Solar อินเดียมีโครงการทยอย COD เพิ่มขึ้น นอกจากนี้กำไรจากโรงไฟฟ้า SPP ในไทยยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งก๊าซฯ ถ่านหินลดลงจากปีก่อน แต่ IPP ยังมีตัวฉุดจากเก็คโค่-วัน ที่รับผลกระทบเรื่องต้นทุนถ่านหิน // แนวโน้ม 2Q68 คาด norm profit น่าจะดีขึ้น QoQ เพราะเป็น high season demand ของการใช้ไฟฟ้า แต่อาจถูกฉุดจากการปรับปรับลดค่าไฟฟ้าในงวดล่าสุดลง ด้านต้นทุนเชื้อเพลิงทรงตัว ส่วนแบ่งกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากอินเดีย ลาว แต่ที่ไต้หวันยังต้องเผชิญค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเข้า low season ของโครงการ Wind นอกจากนี้คาดว่าจะเจอ FX loss เพราะเงินบาทแข็งค่า / ส่วน YoY ลดลงเพราะค่าไฟฟ้าที่ปรับลดลงจากปีก่อน
KCG* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.34 บาท) กำไรสุทธิ 1Q68 อยู่ที่ 122 ลบ.(+71%YoY, -25%QoQ) อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ YoY โตได้หนุนจากสินค้ากลุ่ม Food and Bakery Ingredient ด้าน KCG* เอง วางเป้ารายได้ปี68นี้ +High Single Digit%YoY ปัจจัยขับเคลื่อนหลักจะมาจากสินค้าใหม่ๆ การหาตัวแทนกระจายสินค้าเพิ่มเติม และการให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ขณะที่ในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายคาดว่าจะได้ประโยชน์จาก Solar Roof รวมถึงการเปิดใช้งาน KCG Logistic Park ทั้งนี้ ตลาดคาดกำไรสุทธิ KCG* ปี68 และ69 จะอยู่ที่ 468 ลบ.(+15%YoY) และ 516 ลบ.(+10%YoY)
Daily Key Factors
Oil Update(-) WTI ก.ค.+$0.33 อยู่ที่ $61.53 / บาร์เรล, Brent ก.ค. +$0.34 อยู่ที่ $64.78/บาร์เรล ราคาน้ำมันดิบวันศุกร์มีการปรับตัวขึ้นหลังนักลงทุนปิดสถานะชอร์ตก่อนวันหยุดยาวสหรัฐฯ(Memorial Day) อย่างไรก็ตามหากดูภาพ WoW WTI ก.ค.-0.71% และ Brent ก.ค.-0.96% จากคาดการณ์ผลการประชุมโอเปกในวันที่ 1 มิ.ย. มีโอกาสเพิ่มกำลังการผลิต
Gold Update(+) Comex Gold มิ.ย.+$70.80 อยู่ที่ $3,365.80 /ออนซ์ เกิด flight-to-quality นักลงทุนเลือกขายสินทรัพย์เสี่ยงและซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังประธานาธิบดีทรัมป์เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตรา 50% และอาจเริ่มในวันที่ 1มิ.ย.68
Fund Flow(+) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP สัปดาห์ก่อน ซื้อสุทธิ +228.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +129.69 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นอินโด ฯ +130.65 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และขายหุ้นฟิลิปปินส์ -32.10 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีทรงตัวอยู่ที่ 32.39 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัวอยู่ที่ 4.5287 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -1 จุด อยู่ที่ 1,340
(+) BitCoin เช้านี้ +0.34% อยู่ที่ 109,494 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
30 พ.ค. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย
สัปดาห์ที5 สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม
สศค.รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง, ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค,
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค
ต่างประเทศ
26 พ.ค. US วันหยุด-วันระลึกถึงทหารที่จากไป
27 พ.ค. US รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากซีบี ( พ.ค.)
29 พ.ค. US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
US รายงานการประชุมของ FOMC
US ดัชนีจีดีพี (ไตรมาสต่อไตรมาส) (ไตรมาส 1)
30 พ.ค. US ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index (เม.ย.)
31 พ.ค. CN ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน ( พ.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นที่มีปัจจัยบวกตามกระแส Megatend, ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มเข้าสู่ขาลง, และ/หรือ สามารถรับจากความเสี่ยง Trade War ได้
(1) กลุ่มการเงิน Leasing รับแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยในประเทศลดลง NCAP*, S11*, SINGER* ,SGC* ,THANI*
(2) กลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า หุ้น defensive ได้ประโยชน์จาก Bond yield ที่ปรับลดลง ธุรกิจหลักมีการเติบโตสอดคล้องเศรษฐกิจใหม่ ADVANC ,TRUE ,GULF*, GPSC*, BCPG
(3) กลุ่มเกษตรได้ประโยชน์จากราคาสุกรในประเทศที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่การส่งออกไก่ไปต่างประเทศยังทำได้ดี CPF, BTG* ,TFG* ,FM* ,GFPT
(4) กลุ่ม China Play คาดความดึงเครียดทางการค้าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แม้ยังมีความผันผวนแต่หุ้นที่เกี่ยวข้องมี valuation ที่ปรับตัวลงมาต่ำมากแล้ว น่ากลับไปหาจังหวะเก็งกำไร SCC* ,SCGP* ,PTTGC
(5) กล่มสินค้า IT ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี ADVICE* ,COM7* SYNEX*,SIS*
(6) สินค้าจำเป็นและการบริโภคในชีวิตประจำวันที sensitive น้อยต่อกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว เช่น CPALL , MALEE*, BJC ,OKJ*, NSL*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio May 2025: CPALL, TASCO*, TFG*, STECON, NSL*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Meena Tunlayanitigun
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 033662
Tel 02-829-6999
Email : meena.tu@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th