สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(22 พฤษภาคม 2568)----------บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 816 จุด (-1.9%) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้นท่ามกลางความกังวลหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.7% หลังจากกระทรวงการต่างประเทศของโอมานเปิดเผยว่าการเจรจานิวเคลียร์รอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านจะมีในเร็วๆนี้

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯมิได้มีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีเพียงสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่าจะลดลง 0.9 ล้านบาร์เรลแต่อย่างไรก็ตามตลาดน้ำมันกำลังจับตาดูการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านมากกว่าสต็อกน้ำมัน ส่วนปัจจัยอื่นๆพบว่า US Bond Yield สหรัฐฯเร่งขึ้นต่อเนื่องทั้งอายุ 2 , 10 ปี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าความไม่มั่นใจต่อสหรัฐฯจากการที่เริ่มมีข่าวว่าจะเตรียมปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลของสหรัฐฯซึ่งจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯจะสูญเสียรายได้ จากเดิมทีที่ภาระหนี้สินก็สูงอยู่แล้วปัจจุบันนั้นสหรัฐฯมีภาระหนี้รัฐเทียบกับขนาดเศรษฐกิจที่ 124% และที่ผ่านมามักจะดำเนินนโยบายขาดดุลการคลังมาตลอด ทำให้ Moody เลือกจะปรับลดอันดับเครดิตที่มีข่าวก่อนหน้านี้ ด้วยความกังวลข้างต้นทำให้ราคาทองคำกลับมาขึ้นอีกครั้งแต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐานลง พร้อมกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าอย่างมีนัยยะ แต่ในทางเดียวกันก็ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าทดสอบ 32.65 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯแต่ก็ไม่เชื่อว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทย ด้วยปัจจัยพื้นฐานยังไม่แข็งแรง ทั้งเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะผลประกอบการหลังจากนี้ที่จะเผชิญกับแรงกดดันอย่างมีนัยยะ หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มลดลงและส่งออกก็น่าจะเริ่มขยายตัวน้อยลงจากที่เร่งส่งออกไปก่อนหน้านี้ จึงเริ่มเห็นแรงขายในกลุ่ม Domestic Play (วานนี้ CPAXT CPALL CPN AOT BJC SAWAD) ปรับลงอย่างมีนัยยะสำคัญล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับหุ้นอิงเศรษฐกิจภายใน แม้จะปรับลงมาจน Valuation ไม่แพงแต่ปัจจัยหนุนยังไม่ชัดเจนจึงแนะไม่เร่งร้อนเข้าลงทุน ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯและดัชนี PMI เบื้องต้นทั้งภาคผลิตและภาคบริการ

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1160 – 1185 จุด ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์ยังแนะลดพอร์ตการลงทุนเช่นเดิม เพราะยังไม่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจนแม้หุ้นจะปรับฐานลงมาแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือก Trading ในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการกระทบไม่มากจากปัจจัยสงครามการค้าและภายในประเทศ อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) สื่อสาร (ADVANC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) หุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว (CBG OSP) หุ้นที่อิงรายได้จากประเทศเป็นหลัก (MINT)

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
รายงานกำไรปกติใน 1Q25 อยู่ที่ 50 ล้านบาท (-98% QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 48% โดยพลิกกลับมากำไรจากที่ขาดทุนใน 1Q24 (ไตรมาสแรกถือเป็นช่วง Low season ตามปกติของยุโรป) ถึงแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะอ่อนตัวอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท (-3% YoY, -12% QoQ) แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย และชำระหนี้ที่ดีขึ้น SG&A-to-sales ที่ 36% (-1 ppts YoY)

CBG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 70.00 บาท)
แนวโน้มการขยายตลาดในประเทศยังทำได้ดีต่อเนื่อง แม้ว่าคู่แข่งจะออกขวด 10 บาท บวกกับแนวโน้มยอดขายตลาดที่มีโอกาสลุ้นฟื้นตัวในช่วง 2H25 ระยะสั้นคาดแนวโน้มกำไร 2Q25 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่เติบโตแข็งแกร่ง บวกกับรายได้จัดจำหน่ายสุราข้าวหอมที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นตามต้นทุนที่ปรับตัวลดลง และประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ชดเชยค่าใช้จ่ายภาษีความหวาน และค่าใช้จ่ายสนับสนุนกีฬาที่ลดลง