สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(16 พฤษภาคม 2568)------ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจหดตัว 2.8% หรือมีจำนวน 34.5 ล้านคน ซึ่งจะทำให้รายได้การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 3% จากปี 2567 หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1.62 ล้านล้านบาท
จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 2568 ชาวต่างชาติเที่ยวไทยมีจำนวน 12.9 ล้านคน หดตัว 1% (YoY) ขณะที่คาดว่ารายได้ท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 2% (YoY) หรือมีมูลค่าประมาณ 613,168 ล้านบาท
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัยลบ ได้แก่
- ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาราจีน
- ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทำให้ทางการมาเลเซียออกประกาศเตือนชาวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ของไทย
- แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเลื่อนการเดินทางมาไทย
- สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ชาติที่มีแผนเดินทางมาเที่ยวไทย
- ปัจจัยด้านเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากสปป.ลาว เวียดนาม ฮ่องกง ปรับตัวลดลงเช่นกัน
ไปข้างหน้า แม้ตลาดยังพอมีปัจจัยบวกจากการแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก และการแข่งขันกีฬาซีเกมส์-อาเซียนพาราเกมส์ แต่ท่ามกลางปัจจัยลบที่มากขึ้น ทำให้คาดว่าชาวต่างชาติเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มที่อาจลดลงต่อเนื่อง โดยมี 4 ปัจจัยลบสำคัญ ได้แก่
1. เศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวลง กระทบแผนการเดินทางและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจะมองหาจุดหมายปลายทางที่สอดคล้องกับงบประมาณและความคุ้มค่า สงครามการค้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อในหลายประเทศทั่วโลก โดยเมื่อเดือนเมษายน 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 2.8% ปรับลดจากที่คาดว่าจะเติบโต 3.3% (คาดการณ์เมื่อเดือนมกราคม 2568)
2. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศกระทบการเดินทาง ยิ่งหากมีการปิดน่านฟ้าอีก แม้เหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานจะยุติและสายการบินกลับมาเปิดเส้นทางการบินได้ตามปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติ ทำให้ประเด็นนี้จะยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นและแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่อง
3. ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวไทยลดลง สะท้อนจากจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นและเวียดนามโตเร่งขึ้น
โดย 2 ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทย ได้แก่
- ภาพลักษณ์ความปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยวบางกลุ่มลดลง ตั้งแต่ต้นปี 2568 หลายเหตุการณ์ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยและยังมีผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน จากผลสำรวจ ของ Dragon Trail ณ เดือนเมษายน 2568 พบว่า ชาวจีนมีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 19% ขณะที่ 51% มองว่าประเทศไทยมีความไม่ปลอดภัย
1.
- ราคาสินค้าบริการท่องเที่ยวไทยปรับตัวเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับหลายประเทศ สะท้อนจากเครื่องชี้ราคาเฉลี่ยห้องพักต่อวันในไทย (Average Daily Rate) ในปี 2567 ปรับตัวสูงขึ้นถึง 34% เทียบกับในปี 2562 หรือก่อนโควิด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มตัวอย่างที่ขยายตัวเพียง 28.3% (รูปที่ 4) อีกทั้งราคาสินค้าและบริการอย่างในร้านอาหารก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นตามสภาวะต้นทุน
เมื่อหักค่าเดินทาง ค่าที่พักและการใช้จ่ายสินค้าและบริการแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเหลืองบประมาณในการท่องเที่ยวที่ไม่มากแล้ว ยิ่งหากพิจารณาค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 ดอลลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศด้วย อาทิ ญี่ปุ่น เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 ดอลลลาร์สหรัฐฯ และสิงคโปร์ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,700 ดอลลลาร์สหรัฐฯ ทำให้การมาเที่ยวไทยเริ่มมีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งมากขึ้น
4. การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง ทางการในหลายประเทศมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ เกาหลีใต้ เตรียมเสนอมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว (Group Tour) ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย ขณะที่ เวียดนามเตรียมออกมาตรการวีซ่าระยะยาว 10 ปี (10-year Golden Visa) ดึงดูดชาวต่างชาติและกระตุ้นการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน แผนการจัดเที่ยวบินของสายการบินไปข้างหน้า ก็สะท้อนสัญญาณที่ตอบรับความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ของนักท่องเที่ยว จากการเปิดเผยเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินที่มีกำหนดการล่วงหน้าไปถึงเดือนกันยายน 2568 บ่งชี้ว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปลายทางสู่จีน เติบโต 18% (9 เดือนแรกปี 2568 เทียบ 9 เดือนแรกปี 2567) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทย เพิ่มขึ้นเพียง 8%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปี (รูปที่ 6) โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่หดตัว อาทิ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียน่าจะยังขยายตัวได้ กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดขึ้นอีก
สำหรับตลาดที่มองว่ายังเติบโต หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อาทิ รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้
รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติกระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 (รูปที่ 6) สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป หดตัวเล็กน้อยที่ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด) เนื่องจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young Traveler และกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง รวมถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นอย่างการปรับลดการซื้อของที่ระลึก การใช้บริการร้านอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่างการเลือกร้านอาหาร Street food