ภาวะตลาด : SET Index เมื่อวานนี้ปิด +2.32 จุดที่ 1216.71 โดยกลุ่มที่หนุนเป็นอิเลคทรอนิกส์ (DELTA, HANA, KCE) ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามหุ้นในตลาดต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนยังกังวลกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า และสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน รวมถึงติดตามตัวเลขดัชนี PPI และยอดค้าปลีกของสหรัฐนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ -1.56 พันลบ. ส่วนต่างชาติซ้อื สุทธิ +425 ลบ.
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : ติดตามดัชนี PPI และยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. ซึ่งตลาดคาดดัชนี PPI เพิ่มขึ้น +0.2% MoM, +2.6%YoY (จาก -0.4%MoM, +2.7%YoY ในเดือนมี.ค.) ส่วนยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. ตลาดประเมินว่าจะเพิ่ม +1.1%YoY (จาก +4.9%YoY ในเดือนมี.ค.) รวมถึงการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟด
+/• ซาอุดีอาระเบียให้คำมั่นสัญญาที่จะลงทุนในสหรัฐเป็ นมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการลงทุนในศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งหนุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ หนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับขึ้นต่อ แต่ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเล็กน้อย
- ราคาน้ำมันดิบ WTI & BRENT อ่อนลง -0.8% เป็น 63-66 US$/bbl ด้านสัญญาทองคา COMEX ลดลง -59.50 ดอลลาร์ เป็น 3188.30 US$/ออนซ์ ส่วน US Bond Yield 10 ปีปรับขึ้นเป็น 4.538% ดัชนีค่าเงิน US$ ทรงตัวที่ 100.83 เงินบาทอ่อนเป็น 33.40 บาท/ดอลลาร์ ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) ทรงที่ 99 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ถอยลงสู่ 1267 (สูงสุดอยู่ที่ 1669)
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
•/- ธปท.ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.ห่วงการลงทุนที่ต่า ต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ และส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย หลังลดมาแล้ว 3 ครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อนมาเป็น 1.75% ในปัจจุบัน โดยมองว่า Policy space มี room ไม่มากแล้ว แรงกระตุ้นและการส่งผ่านการลดดอกเบี้ยจะน้อยลง ในยามที่ยังมีความเสี่ยงสูง การเก็บกระสุนไว้ใช้เมื่อจำเป็นน่าจะดีกว่า...ซึ่งมุมมองของธปท.นี้อาจขัดกับคาดการณ์ของหลายสำนักวิจัยที่ประเมินว่าดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงได้อีก 1-2 ครั้งๆ ละ 0.25%
+/- KTB ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% และลดดอกเบี้ยเงินฝาก 0.075%-0.20% มีผล 15 พ.ค.นี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้สอดคล้องกับผลการประชุมกนง.ครั้งล่าสุดที่ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.75% และเป็นธนาคารที่ 2 ที่ลดดอกเบี้ย (ธนาคารแรกคือ BBL)
+/- MSCI Rebalancing พ.ค.25 - ถอด 3 หุ้นไทย คือ BEM, CRC, KTC ออกจาก MSCI Global Standard Index โดยไม่มีหุ้นเข้า และถอด 8 หุ้นออกจาก MSCI Small Cap Index คือ AURA, BANPU, DOHOME, GUNKUL, JAS, JMART, PRM, M และมี 2 หุ้นเข้า คือ AWC, BEM (ย้ายมา) มีผล ณ ราคาปิด 30 พ.ค.25
+ หุ้นที่คาดว่ากองทุน TESGX จะให้ความสนใจ ได้แก่ ADVANC (SET ESG Ratings: AAA), BEM (AAA), CPALL (AAA), CPN (AAA), GULF (AAA), KTB (AAA), KBANK (AAA), PTT (AAA), SCC (AAA), AOT (A), DELTA (A), BDMS (A) เป็นต้น
กลุยทธ์ : กลยุทธ์หลักเป็นการเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ Valuation ไม่แพง และหุ้น Big Cap ที่กองทุน TESGX ให้ความสนใจ ซึ่งหุ้น Top Picks ของเดือนพ.ค.เป็น ADVANC, BDMS, BJC, CPALL และ KTB ส่วนการเก็งกาไรรอบสั้น ดัชนีมีแนวรับระยะสั้น 1210, 1205-1200, 1195 (การหลุด 1195 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม) การปรับขึ้นต่อ มีแนวต้าน 1220-1230, 1250
หุ้นพื้นฐานแนะนำ : BDMS – กำไรสุทธิ 1Q25 เติบโต +10%YoY, +4%QoQ เป็น 4.5 พันล้านบาท มาจากรายได้คนไข้ไทยเพิ่ม +4%YoY รายได้คนไข้ต่างชาติโตดี +11%YoY (นำโดยรายได้คนไข้การ์ตา อังกฤษ และสหรัฐ) ส่งผลให้รายได้รวมโต +6%YoY (รายได้คนไข้ไทย 69% ต่างชาติ 31%) อัตรากาไรขั้นต้นสูง จากการควบคุมต้นทุนที่ดี อัตราภาษีจ่ายลดลงจากได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI แนวโน้มระยะยาวไปได้ดี จากมีร.พ.ในเครือมากถึง 58 แห่ง แนะซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 36 บาท
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829