สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(15 พฤษภาคม 2568)------------บทวิเคราะห์ บล.พาย เปิดผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 89 จุด (-0.2%) บรรยากาศเป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนรอดูปัจจัยใหม่ๆที่จะเข้ามากระตุ้นการลงทุน ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.8% หลังจากสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลง

เมื่อคืนที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯมิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญและตลาดก็คล้ายกับว่า Price In ปัจจัยด้านการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศไปแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาทรงตัว แต่อย่างไรก็ตามตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯโดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 , 10 ปี ปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมองเป็นปัจจัยกดดันตลาดจากความกังวลทิศทางดอกเบี้ย และความกังวลต้นทุนการเงินจะสูงขึ้นกระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่อย่างไรก็ตามระยะสั้นๆจะเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ด้านปัจจัยในประเทศยังคงรอติดตามการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯหลังจากที่วานนี้รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯเผยว่าได้มีการพิจารณาข้อเสนอจากไทย แต่หากมีการเจรจาจริงก็มองเป็นเพียงปัจจัยหนุนชั่วคราวเนื่องจากหากไม่เกิดกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวได้เฉลี่ยเพียง 2-3% แต่ภาษีทำให้ความเสี่ยงขาลงมีมากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและสวนทางกับบางประเทศเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าอาจมิได้มาจากปัญหาเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจจีนแต่อาจเป็นเพราะปัจจัยในประเทศที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาลดลง อาจเกิดจากราคาสินค้าสูง ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ความกังวลความปลอดภัย ด้านผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg Consensus รายงานกำไรมาแล้วราว 83 บริษัท (SET100) หรือคิดเป็น Market Capitalization ที่ 76% ของ SET INDEX โดยหุ้นที่กำไรขยายตัว YoY ได้แก่ ADVANC AWC BBL BDMS BJC CBG COM7 CPALL CPN CRC HANA KTB KTC MOSHI MTC SCB WHA มองเป็นหุ้นที่น่าสนใจ ส่วนวันนี้ยังแนะรอติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่เหลือ และคืนนี้รอติดตามดัชนี PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 0.2%MoM และยอดค้าปลีกที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน

บทวิเคราะห์ระบุว่า วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1200-1220 จุด ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะลดพอร์ตการลงทุนเช่นเดิมเพราะปัจจัยพื้นฐานไทยที่ยังอ่อนแอ แม้จะมีข่าวเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศแต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวและอาจกลับมาขึ้นภาษีอีกก็เป็นไปได้ หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือภาษีการมีกำแพงภาษีระหว่างกันมิใช่เรื่องที่ดีต่อการค้าโลกหรือเศรษฐกิจโลก (แท้จริงแล้วภาษีนำเข้าระดับ 10 – 30% ก็ยังเป็นระดับที่สูง) อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกเก็งกำไรในหุ้นที่ผลประกอบการรายงานออกมาดี อาทิ CPALL AMATA OSP CPF

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT

CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท)
1Q25 รายงานกำไรสุทธิ 8549 ล้านบาท (+642%YoY,+105%QoQ) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ระดับ 8303 ล้านบาท (+11867%YoY,+38%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้มาก (เราคาดไว้เพียง 7000 ล้านบาท) สาเหตุหลักเกิดจากผลดีของราคาเนื้อสัตว์ที่อยู่ในระดับสูงรวมกับต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นสูงถึง 18.5% แนวโน้มช่วง 2Q25 เราคาดว่ากำไรยังคงอยู่ในระดับสูงได้จากผลดีของราคาสุกรในประเทศ ที่ล่าสุดปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 88 บาท/กก. และจากกำไรสุทธิในช่วง 1Q25 ที่ออกมาดีเกินคาด เราจึงอาจจะมีการปรับประมาณการขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 19946 ล้านบาท โดยจะรอดูผลประกอบการช่วง 2Q25 อีกครั้ง