Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

434

 


เดินหน้าต่อสู่ 1240 จุด
TOP PICK PLANB / TRUE / CPALL

 

EXTERNAL FACTOR
วานนี้ตลาดหุ้นกลุ่ม TECH สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ +1.6% ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ BRENT ดีดตัวขึ้นราว 2.6% (เมื่อนับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 68 +5.6%MTD) หลังปัจจัยแวดล้อมยังไม่เห็นแรงกดดันเข้ามาเพิ่มเติม และมีแรงหนุนจาก 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่

จีน-สหรัฐฯ คลายความตึงเครียดทางการค้า น่าจะเป็น SENTIMENT บวกต่อเนื่อง

ปธน. ทรัมป์ เร่งทำดีลกับตะวันออกกลาง

ผ่อนคลายเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย.68 ขยายตัว +2.3%YOY ซึ่งต่ำกว่าคาด

 

INTERNAL FACTOR
ครม. ไฟเขียวออก G-TOKEN เบื้องต้นคาดมีวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะ ออกมาจำหน่ายได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ช่วยให้รัฐบาลมีช่องทางใหม่ในการระดมทุน และ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย

MSCI ประกาศหุ้นเข้าออก มีผลราคาปิด 30 พ.ค. 68 กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ถูกคัดเข้า ดัชนีอย่าง AWC น่าจะสามารถ OUTPERFORM SET ได้ในช่วงนี้ ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกจำกดัชนีบางตัวมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกำไรเติบโตในอนาคต แนะนำทยอยสะสม เมื่อราคาลงมาลึกอย่าง CRC DOHOME

 

INVESTMENT STRATEGY
เทียบปัจจุบัน กับช่วงก่อนมีประเด็น RECIPROCALTARIFF(4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) พบว่า ตลาดหุ้นโลก ขึ้นมาแล้วกว่า 7.9% ตลาดหุ้นสหรัฐ (NASDAQ) +14.9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง LAGGARD กว่า +4.9% ทำให้น่าจะยังมีช่องว่างให้ขยับขึ้นต่อได้

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสม หุ้นพื้นฐานแถว 2 ที่ราคายัง LAGGARD SET INDEX ตั้งแต่มีประเด็น RECIPROCALTARIFF ถึงปัจจุบัน (4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) ที่ +4.5% คือ PLANB -22.9%, CENTEL - 17.9%, PTTEP -10.8%, BH -4.9%, AOT -3.2%, CPALL +0.6%, GULF +1.5%

 

สินทรัพย์เสี่ยงยังเปิดโหมด RISK-ON
วานนี้ตลาดหุ้นกลุ่ม TECH สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ +1.6% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ BRENT ดีด ตัวขึ้นราว 2.6% (เมื่อนับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 68 +5.6%MTD) หลังปัจจัยแวดล้อมยังไม่เห็นแรงกดดันเข้ามาเพิ่มเติม และมีแรงหนุนจาก 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่

 

1. จีน-สหรัฐฯ คลายความตึงเครียดทางการค้า น่าจะเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อเนื่องโดยสำนักเศรษฐกิจ ต่างๆ พากันปรับคาดผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน อาทิ

GOLDMAN SACHS ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ปี2025 ลงเหลือ 25% (เดิมคำด 45%) และปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 โต 1% (เดิมคาด 0.5%)

JP MORGAN ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ปี 2025 ต่ำกว่า 50% และ ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 โต 0.6% (เดิมคาด 0.2%)

MORGAN STANLEY ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์GDP จีนในปี 2025เป็น 4.5% (เดิม 4%)

UBS ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีนในปี 2025ขึ้นสู่ระดับ 3.7% –4% (เดิม 3.4%)

 

2. ปธน. ทรัมป์ เร่งทำดีลกับตะวันออกกลาง โดยซาอุดีอาระเบียได้ทำข้อตกลงการลงทุนกับสหรัฐในวงเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์ขณะที่บริษัท NVIDIA CORP. และ ADVANCED MICRO DEVICES INC. เตรียม จัดหาชิปให้กับบริษัท HUMAIN ของซาอุดีอาระเบียสำหรับโครงการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่

 

3. ผ่อนคลายเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย. 68 ขยายตัว +2.3%YOY ซึ่งต่ำกว่าคาดและชะลอตัวลงจาก เดือนก่อนที่ +2.4%YOY อย่างไรก็ตำมมุมองต่อทิศทำงดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดย FEDWATCH TOOL ยังคงเทน้ำหนักปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน 9 และเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในปีนี้ (เท่ากับคาดการณ์ DOT PLOT)

 

ทั้ง 3 ปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นโลกและ COMMODITY ขึ้นได้ดี โดยเฉพาะราคาน้ำมัน +3% (7 วันทำการ +15%) ถือว่าดีต่อ SET ที่มีสัดส่วนหุ้นอิง COMMODITY 1 ใน 3 ของตลาด แนะนำ PTTEP, PTT, PTTGC, BCP, TOP

 

ปัจจัยในประเทศมีอะไรที่น่าติดตามบ้าง ... มาดูกัน
วานนี้รัฐบาลไฟเขียวการออก โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (GOVERNMENT TOKEN : G-TOKEN) ภายใต้ชื่อ “ไทยแลนด์ดิจิทัลโทเคน” เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการออมการลงทุนให้กับประชาชนใหม่ และเป็นการเพิ่มเครื่องมือในการระดมทุนของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นจะมีวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง คาดว่าจะออกมาจำหน่ายได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกู้เงินในรูปแบบโทเคนดิจิทัล ภายใต้กรอบวงเงินกู้ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ ครม. มีมติอนุมัติ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 67 ซึ่งปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และเข้าใกล้กรอบวินัยการคลังที่ระดับ 70% จึงถือว่าการออก G-TOKEN ไม่เพียงแต่จะช่วยให้รัฐบาลมีช่องทางใหม่ในการระดมทุน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของประเทศไทย

 

ส่วนอีกประเด็นในประเทศ คือ วานนี้ MSCI ประกาศหุ้นเข้าออก มีผลราคาปิด 30 พ.ค. 68 โดยมีรายชื่อ ดังนี้
MSCI GLOBAL STABDARD
เข้า: ไม่มี
ออก: BEM. CRC, KTC
MSCI GOBAL SMALL CAP

 

เข้า: AWC, BEM
ออก: AURA, BPP, DOHOME, GUNKUL, JAS, JMART, M, PRM
ซึ่งกลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนีอย่าง AWC น่าจะสามารถ OUTPERFORM SET ได้ในช่วงนี้ ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกจากดัชนีบางตัวมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง กำไรเติบโตในอนาคต แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาลงมาลึกอย่าง CRC DOHOME

 

SET ขยับขึ้นต่อ...แนะหุ้นแถว 2 หวังขึ้นแรงตาม
เทียบปัจจุบัน กับช่วงก่อนมีประเด็น RECIPROCAL TARIFF (4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) พบว่า ตลาดหุ้นโลก ขึ้นมาแล้วกว่า 7.9% ตลาดหุ้นสหรัฐ (NASDAQ) +14.9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง LAGGARD กว่า +4.9% ทำให้น่าจะยังมีช่องว่างให้ขยับขึ้นต่อได้

 

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสม หุ้นพื้นฐานแถว 2 ที่ราคายัง LAGGARD SET INDEX ตั้งแต่มีประเด็น RECIPROCAL TARIFF ถึงปัจจุบัน (4 เม.ย. – 13 พ.ค. 68) ที่ +4.5% คือ PLANB -22.9%, CENTEL -17.9%, PTTEP -10.8%, BH -4.9%, AOT -3.2%, CPALL +0.6%, GULF +1.5%

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์


 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

PTG คว้าหุ้นยั่งยืน "ระดับสูงสุด AAA" จาก SET ESG Ratings ปี 2568

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

IND ส่งต่อพลังบุญ มอบรถกระบะให้วัดป่าลัน ใช้สืบสานงานศาสนา

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้