วันอังคารที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลง มีแรงขายกดดันนeโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงตามด้วยแรงขายในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ขนส่ง และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่มีแรงซื้อมากในหุ้นกลุ่มธนาคาร ไอซีทีและวัสดุก่อสร้าง เป็นปัจจัยช่วยพยุงดัชนี อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,187.86 จุด -11.12 จุด -0.93% มูลค่าการซื้อขาย 43,577 ลบ. Program Trading -258.82 ลบ. ต่างชาติ +853.46 ลบ.TFEX +3,826 สัญญา ตราสารหนี้ +25,883.30 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.96 ดอลลาร์ หรือ +3.43% ปิดที่ 59.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้แรงหนุนจากหลายปัจจัยซึ่งรวมถึงสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์ในจีนฟื้นตัวขึ้น การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับตัวลง และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหลังจากราคาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี
+/- นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ (7 พ.ค.) แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันอย่างหนักให้FED รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย
+ รัฐบาลโอมานออกแถลงการณ์ระบุว่าโอมานเป็นประเทศคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสหรัฐฯ และกลุ่มฮูตี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีครั้งใหญ่ของกลุ่มฮูตีนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นสงคราม ในฉนวนกาซาในเดือนต.ค.2566
+ BOI เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของประเทศไทยว่ามีสัญญาณการลงทุนที่ดีโดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี จะมีปริมาณเงินลงทุนจริงมากกว่า 1 ล้านล้านบาท เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงไตรมาสแรก(ม.ค.-มี.ค.68) มีจำนวน 822 โครงการ เพิ่มขึ้น 20%YoY มูลค่าเงินลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
+ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2568 เป็น 3.99 บาทต่อหน่วยโดยรัฐบาลจะคงอัตราการค่าไฟฟ้า 3.99 บาทต่อหน่วย ให้ได้จนถึงสิ้นปี
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 389.83 จุด หรือ -0.95% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทำข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมของ FED
- ปธน.ทรัมป์มีแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าและยอมรับว่ายังไม่ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ของจีนเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า
- สหรัฐฯ เปิดเผยว่าตัวเลขขาดดุลการค้าพุ่งขึ้น 14% สู่ระดับ 1.405 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.376 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.232 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.
- กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน เม.ย.68 ลดลง 0.22%YoY เป็นการลดลงครั้งแรกรอบ 13 เดือนหลังจากติดลบติดต่อกันช่วงเดือน ต.ค.66-มี.ค.67 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งแก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน และค่ากระแส
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนียังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยนักลงทุนจับตาผลการประชุมของ เฟด ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ประกอบกับปธน.ทรัมป์ยอมรับว่าเขายังไม่ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ของจีนเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,180-1,195 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุน TESGX: BBL BEM CPALL PTT TISCO
- หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการ 1Q68 จะออกมาดี : STECON OSP WHA TRUE ADVANC
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง กลุ่มนำเข้าวัตถุดิบ TVO TFG COM7 SYNEX MCS KCG กลุ่มที่มีหนี้ เป็นสกุลดอลลาร์GULF GPSC BGRIM MINT PTTEP
- คาดหุ้นเข้าคำนวณ SET50 : BCP KKP TCAP / หุ้นออกจาก SET50 : BGRIM GLOBAL ITC
- คาดหุ้นเข้าคำนวณ SET100 : AURA MBK TOA WHAUP / หุ้นออกจาก SET100 : CKP COCOCO ROJNA SAPPE
*การคำนวณ SET50/100 ยังขาดข้อมูลเดือน พ.ค. อีก 1 เดือน