สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 25 เมษายน 2568)---------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MST ที่ 'AA(tha)' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ที่ 'F1+(tha)' โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตพิจารณาจากปัจจัยสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น: อันดับเครดิตของ MST พิจารณาจากความคาดหวังของฟิทช์ว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษนอกเหนือจากการดำเนินงานตามปรกติ (extraordinary support) จากธนาคารแม่ที่เป็นผู้ถือหุ้นสูงสุด ซึ่งคือ Malayan Banking Berhad (หรือ Maybank) ในกรณีที่มีความจำเป็น อันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณาเปรียบเทียบโครงสร้างเครดิตของ MST กับบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศจากปัจจัยสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นโดยฟิทช์อีกด้วย และสะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในประเทศ

โครงสร้างเครดิตที่แข็งแกร่งของแม่: ความสามารถของ Maybank ในการให้การสนับสนุนแก่ MST พิจารณาจากความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารแม่ โดย Maybank เป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย และฟิทช์เชื่อว่าธนาคารแม่มีความสามารถที่แข็งแกร่งในการให้การสนับสนุนแก่บริษัทลูกในประเทศไทย การให้สนับสนุนพิเศษนอกเหนือจากการดำเนินงานตามปกติแก่บริษัทลูกจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธนาคารแม่ เนื่องด้วยขนาดธุรกิจของ MST ที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับธนาคารแม่ โดยมีสัดส่วนที่น้อยกว่า 1% ของสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่ม ณ สิ้นปี 2567

เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์: อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความคาดหวังของฟิทช์ว่ามีแนวโน้มสูงที่ Maybank จะให้การสนับสนุนแก่ MST เนื่องจาก MST มีบทบาทสำคัญต่อกลุ่มในการนำเสนอการบริการที่ครอบคลุมในตลาดทุนในประเทศไทย ซึ่งช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นของ Maybank ในการให้บริการทางการเงินที่หลากหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ยังไม่จัด MST เป็นบริษัทย่อยหลักของ Maybank เนื่องจากขนาดธุรกิจยังมีสัดส่วนที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับกลุ่ม อีกทั้งประเทศไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในตลาดหลักของกลุ่ม

มีความสอดคล้องกันด้านกลยุทธ์และมีการร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง: ธนาคารแม่มีสัดส่วนการถือหุ้นใน MST ที่ 83.5% ซึ่งบ่งชี้ถึงอำนาจในการกำกับดูแลกิจการในระดับสูง การวางกลยุทธ์ของบริษัทลูกมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่ม นอกจากนี้ การผสานการทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มยังเอื้ออำนวยต่อการบริหารจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยาการร่วมกัน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์

มีความเชื่อมโยงระหว่างกันด้านชื่อเสียงที่เด่นชัด: MST มีการใช้ชื่อทางการค้าร่วมกับ Maybank ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือในตลาด ดังนั้น ฟิทช์เชื่อว่า Maybank อาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียงได้ หาก MST ต้องประสบกับความยากลำบากทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินงานของธุรกิจการเงินด้านอื่นของกลุ่ม

สภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ซบเซา: บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ท้าทาย จากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ซบเซา และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 12% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมูลค่าการเสนอขายหลักทรัพย์ใหม่เป็นครั้งแรก (IPO) ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งลดโอกาสในการทำธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ ฟิทช์คาดว่าสภาวะตลาดจะยังคงผันผวนต่อเนื่องในระยะสั้น

ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย: MST ยังคงมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่องตลอดวัฏจักรธุรกิจ และฟิทช์คาดว่าเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจะช่วยสนับสนุนโอกาสทางธุรกิจในระยะปานกลางได้ ผลประกอบการในปี 2567 ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นโดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อส่วนผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (operating profit/average equity) ที่ 11.6% และ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 9.3% (ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 2.0%)

โครงสร้างเงินทุนได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่: MST มีการพึ่งพาเงินทุนระยะสั้นจากตลาดทุน เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์อื่น อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่าความเสี่ยงด้านการระดมเงินทุนได้ถูกบรรเทาลงจากปัจจัยการสนับสนุนจากธนาคารแม่ สถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มเอื้อประโยชน์กับบริษัทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภายนอก นอกจากนี้ ทางกลุ่มยังให้การสนับสนุนในด้านเงินทุนแก่บริษัท ในรูปแบบของวงเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทในกลุ่ม (intra-group liquidity lines) และเงินกู้ยืมประเภทด้อยสิทธิ

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ หากโครงสร้างเครดิตของธนาคารแม่และความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่บริษัทลูกมีการปรับตัวลดลง ทั้งนี้การปรับอันดับเครดิตจะพิจารณาเปรียบเทียบกับสถาบันการเงินรายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังอาจถูกปรับลดอันดับลงได้ หากฟิทช์เห็นว่าโอกาสที่ Maybank จะให้การสนับสนุนแก่ MST มีการปรับลดลง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ธนาคารแม่ลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นลงต่ำกว่า 75% ควบคู่ไปกับการลดระดับอำนาจในการควบคุมด้านการบริหารจัดการ หรือการปรับตัวด้อยลงของการเชื่อมโยงธุรกิจกับธนาคารแม่ อย่างไรก็ตามฟิทช์ไม่คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะสั้นถึงระยะกลาง
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของ MST ไม่น่าจะถูกปรับลดอันดับ เว้นแต่ในกรณีที่อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทถูกปรับลดอันดับลงไปที่ 'A-(tha)' หรือ ต่ำกว่า

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ MST อาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิต หากธนาคารแม่มีโครงสร้างเครดิตที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่บริษัทลูกในระดับที่เพิ่มขึ้น

การปรับเพิ่มขึ้นของโอกาสที่ Maybank จะให้การสนับสนุนแก่ MST ยังอาจส่งให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวได้รับการปรับเพิ่มอันดับ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หาก MST กลายเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเครือข่ายธุรกิจของธนาคารแม่ เช่น การมีขนาดธุรกิจและสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับกลุ่ม

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น ไม่มีโอกาสที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิต เนื่องจากอันดับเครดิตอยู่ในระดับสูงสุดของอันดับเครดิตภายในประเทศแล้ว

แหล่งที่มาของข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
แหล่งที่มาของข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นไปตามรายละเอียดที่อธิบายไว้ในเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

อันดับเครดิตที่มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตของ MST มีความเชื่อมโยงกับโครงสร้างเครดิตของ Maybank