THAI ESGX มาได้ ถูกที่-ถูกเวลา- ถูกจังหวะ
TOP PICK OSP / SCGP / KTB
EXTERNAL FACTOR
GLOBAL INDICES
• ทิศทางตลาดหุ้นเริ่มนิ่งขึ้น จากสัญญาณลบที่ผ่อนคลายลง สังเกตได้จากดัชนีความไม่แน่นอนทางการค้า (TRADE POLICY UNCERTAINTY INDEX) ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 19.31 จุด เหลือ 10.89 จุด
• ขณะที่ในมุมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องติดตามตัวเลข GDP 1Q68 ที่จะประกาศ 30 เม.ย.68 ที่ FED สาขา ATLANTA ออกมาคาดกาณ์ว่า GDP จะปรับตัวลดลง -2.5%YOYซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นส่วนเพิ่มความกังวลการเกิด TECHNICAL RECESSIONและเม็ดเงินอาจไหลกลับเข้า SAFE HAVEN อีกระลอกได้
INTERNAL FACTOR
• วานนี้กระทรวงพาณิชย์เผย ยอดส่งออกไทยเดือน มี.ค. 68 มีมูลค่า 29,548 ลบ.ขยายตัว +17.8%YOY ดีเกินคาด อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป บ้านเรายังเต็มไปด้วยความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่รออยู่ข้างหน้า
• ช่วงสัปดาห์หน้า มีประเด็นภายในประเทศที่น่าติดตามหลักๆ ได้แก่ วันที่ 28 เม.ย. 68สศค. จะแถลงประมาณการเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ วันที่ 30 เม.ย. 68กนง. กำหนดประชุมนโยบายการเงินในครั้งที่ 2/2568 โดยล่าสุด CONSENSUSคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยไทย มีโอกาสเห็นการปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. ด้วยความน่าจะเป็น 50%
INVESTMENT STRATEGY (แนะนำซื้อ THAI ESGX)
• หวังว่าการโยกเงินจาก LTF เป็น THAI ESGX หรือ ซื้อกองทุน THAI ESGX เพิ่ม ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากกับนักลงทุน (ช่วง 2 พ.ค. –30 มิ.ย. 68) เพราะ SET ปัจจุบันมี VALUATION หุ้นไทยถูกมาก PBV 1 เท่าต้นๆ หลังเผชิญวิกฤตต่างๆ มามาก และในระยะยาวระดับ 5 ปีขึ้นไป ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมักจะส่งผลน้อยลง และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีระดับ 25% ต่อปี รวมถึงสามารถนำเม็ดเงินนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีก
• ยังคงแนะนำ10 หุ้นเด่น มี ESG RATING แบ่งเป็น 5 หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง DELTA, AMATA, SCGP,TOP, AOTและ5 หุ้นสะสมระยะกลางยาว SCC, CPALL, BDMS, WHA, CK
ทิศทางตลาดหุ้นเริ่มนิ่งขึ้น จากสัญญาณลบที่ผ่อนคลายลง แต่ต้องดู GDP สหรัฐฯงวด 1Q68การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกยุค TRUMP 2.0 กดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาในหลายประเทศทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีนไทย ซึ่งหลังจากการตั้งกำแพงภาษีสหรัฐที่ไม่มีการตอบโต้กลับกว่า 75 ประเทศ ถูกเลื่อนออกไป 90 วัน ก็มีหลายประเทศพร้อมเจรจากับสหรัฐฯ ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป รวมถึงล่าสุดทางการจีนก็เปิดทางพร้อมเจรจากับสหรัฐฯจึงทำให้ดัชนีความไม่แน่นอนทางการค้า (TRADE POLICY UNCERTAINTY INDEX) ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 19.31 จุด เหลือ 10.89 จุด อีกทั้งล่าสุด TRUMP ยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้มีการประชุมการค้ากับจีนและมีข้อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามทางการจีนบอกว่ายังไม่ได้เริ่มมีการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ขณะที่ในมุมเศรษฐกิจโลก IMF เผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยได้ปรับลดประมาณการ GDP GROWTH ลงมาในหลายประเทศทั่วโลก จากผลกระทบนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยพุ่งขึ้นสู่ระดับ22.8% (ก่อนขึ้นภาษีรอบใหม่ อยู่ในระดับเฉลี่ยราว 2.3%) โดยสหรัฐฯคาดเศรษฐกิจขยายตัว1.8% ในปี 2025 (เดิมคาด 2.7%) ส่วนในช่วงสั้นต้องติดตามตัวเลข GDP 1Q68 ที่จะประกาศ 30 เม.ย.68 ที่ FED สาขา ATLANTA ออกมาคาดกาณ์ว่า GDP จะปรับตัวลดลง-2.5%YOY ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นส่วนเพิ่มความกังวลการเกิด TECHNICALRECESSION และเม็ดเงินอาจไหลกลับเข้า SAFE HAVEN อีกระลอกได้
ปัจจัยภายในประเทศมีอะไรน่าสนใจบ้าง...มาดูกัน
วานนี้กระทรวงพาณิชย์เผย ยอดส่งออกไทยเดือน มี.ค. 68 มีมูลค่า 29,548 ลบ. ขยายตัว +17.8%YOY ดีเกินคาดที่ 12.8%YOY ส่วนมูลค่านำเข้า 8,575 ลบ. +10.2%YOY ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 973 ลบ. สำหรับหมวดสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว +23%YOY อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ (SIS SYNEX COM7 SPVI),แผงวงจร (KCE HANA CCET DELTA), หม้อแปลงไฟฟ้า (TRT),รถยนต์อุปกรณ์ (SAT AH) เป็นต้นอย่างไรก็ตามภาคการส่งออกของไทยยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯที่รอยอยู่ข้างหน้า โดย สรท.มองว่าในช่วง 2H68 ผลกระทบของภาษีทรัมป์อาจทำให้คำสั่งซื้อจากคู่ค้าสหรัฐลดฮวบเหตุกำไรไม่พอกับรายจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ คาดส่งออกไทยทั้งปี 2025 จะขยายตัวได้ราว 2-3%
สำหรับช่วงสัปดาห์หน้า มีประเด็นภายในประเทศที่น่าติดตามหลักๆ ดังนี้
• วันที่ 28 เม.ย. 68 สศค.จะแถลงประมาณการเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้
• วันที่ 30 เม.ย. 68 กนง. กำหนดประชุมนโยบายการเงินในครั้งที่ 2/2568 ขณะที่ล่าสุด CONSENSUS
คาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยไทย มีโอกาสเห็นการปรับลดดอกเบี้ย 25 BPS. ด้วยความน่าจะเป็น 50% และมีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.0% ด้วยความน่าจะเป็น 50%
“ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” กองทุน THAI ESGX น่าซื้อสะสม แถมนำมาลดหย่อนภาษีได้อีก
แม้ช่วงที่ผ่านมา 5 –6 ปี ตลาดหุ้นไทยจะย่อตัวลงมาลึกจาก 1700 –1800 จุด (PBV > 1.8 เท่า) เหลือ 1146 จุด ซึ่งการลงมาแรง ส่งผลให้นักลงทุนขาดทุน เพราะช่วง 5 –6 ปี ตลาดหุ้นไทยเผชิญวิกฤตหนักๆ พอดี ทั้งโควิด และคร่อมช่วงปลาย TRADE WAR 1และต้น TRADE WAR 2 กดดันจน PBV ของ SET ปัจจุบันเหลือ 1.07 เท่า เท่านั้นดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณตลอด 25 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนระยะยาวใน SET 5 ปี โดยซื้อหุ้นในช่วง PBV < 1.1 เท่า พบว่า SET มีโอกาสให้ผลตอบเฉลี่ยแทนสูงถึง 208% ใน 5 ปีข้างหน้า (เฉลี่ย 25% ต่อปี)
ส่วนปัจจุบัน มีเม็ดเงินคงค้างในกองทุน LTF ที่ 1.52 แสนล้านบาท (ณ 23 เม.ย. 68) และหากดูผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุน LTF ทั้งหมด 106 กองทุน ให้ผลตอบแทนทรงๆ -0.7% ต่อปี ถือว่าทำได้ดี ภายใต้ตลาดหุ้นที่เผชิญทั้งวิกฤตโควิด และคร่อมช่วงปลาย TRADE WAR และต้น TRADE WAR 2
ดังนั้น หวังว่าการโยกเงินจาก LTF เป็น THAI ESGX หรือ ซื้อกองทุน THAI ESGX เพิ่ม ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากกับนักลงทุน (ช่วง 2 พ.ค. – 30 มิ.ย. 68) เพราะ SET ปัจจุบันมี VALUATION หุ้นไทยถูกมาก PBV 1 เท่าต้นๆ หลังเผชิญวิกฤตต่างๆ มาเยอะ และในระยะยาวระดับ 5 ปีขึ้นไป ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมักจะส่งผลน้อยลง และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีระดับ 25% ต่อปี รวมถึงสามารถเม็ดเงินนำไปลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีก
กลยุทธ์ยังคงแนะนำ 10 หุ้นเด่น มี ESG RATING ได้เม็ดเงินจากกองทุน THAI ESGX ทยอยเข้ามาหนุน แบ่งเป็น 5 หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOT และ 5 หุ้นสะสมระยะกลางยาว SCC, CPALL,BDMS, WHA, CK
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์