วันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ค้าปลีก และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,134.71 จุด -16.24 จุด -1.41% มูลค่าการซื้อขาย 32,465.37 ลบ. Program Trading -2,836.06 ลบ. ต่างชาติ -2,237.56 ลบ. TFEX +23,218 สัญญา ตราสารหนี้ +7,599.35 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ อิหร่านยืนยันว่าพร้อมที่จะบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ หากสามารถรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของอิหร่าน
+ รัสเซียระบุว่ายังคงเปิดกว้างต่อการแสวงหาแนวทางการทูตเพื่อยุติสงครามในยูเครน
+ หุ้นกลุ่มธนาคารรายงานผลการดำเนินงานในงวด 1Q68 มีกำไรสุทธิรวม 11 ตัว 6.83 หมื่นล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 7%YoY และลดลง 11%QoQ จากการควบคุมต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้ดีซึ่งส่วนหนึ่งมาปัจจัยฤดูกาลในช่วงปลายปี 67 ที่มีแคมเปญส่งเสริมการขาย สำรองหนี้สูญ หรือขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง
+/- สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.21% ของ GDP โดยสิ้นปีนี้ตามเป้าหมายหนี้เพิ่มไปอยู่ที่ 65.5% และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 67.3% หากรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% หรือกู้เพิ่มเพื่อนำเงินมาใช้ดูแลเศรษฐกิจเป็นการเร่งด่วนก็สามารถทำได้แต่ต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมายที่ตั้งไว้ คือเป็นเรื่องฉุกเฉิน จำเป็น เร่งด่วน และต้องมีเป้าหมาย โครงการใช้เงินที่ชัดเจน ลักษณะเหมือนกับตอนออก พ.ร.ก.กู้เงิน ช่วงสถานการณ์โควิด
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 971.82 จุด หรือ -2.48% กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าและการแทรกแซงความเป็นอิสระของ FED หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เดินหน้าโจมตีเจอโรม พาวเวล ประธาน FED
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.60 ดอลลาร์ หรือ -2.47% ปิดที่ 63.08 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการเจรจาโครงการนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านมีความคืบหน้า และความกังวลว่าสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
- รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศสเตือนว่า ความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์จะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ หากปธน.ทรัมป์ปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งประธาน FED
- จีนประกาศเตือนประเทศต่าง ๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของจีน และจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาดหากประเทศใดเลือกแนวทางดังกล่าว
- ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ทิศทางค้าปลีกไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าเติบโต 3.4% จากมูลค่า 4.4 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงปี 65-66 ที่เติบโต 5.9% เนื่องจากปีนี้รับแรงกดจากเศรษฐกิจโลก และสินค้าอีคอมเมิร์ซต้นทุนถูกที่ส่งออกไปสหรัฐไม่ได้จะล้นทะลักเข้ามาแล้วกระทบภาคการผลิตของไทย
- หลายสำนักวิจัยต่างปรับลดประมาณการ GDP ปี 68 จากผลกระทบของสงครามการค้าและเศรษฐกิจอ่อนแอ อาทิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 68 จากเดิม 2.4% เหลือ 1.4% ส่วน SCB EIC ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 68 จากเดิม 2.4% เหลือ 1.5% ขณะที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้โตเหลือ 1-1.4%
- สหรัฐฯ แจ้งเลื่อนเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ จากนัดหมายเดิมพรุ่งนี้ 23 เม.ย. ออกไปก่อน
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์โจมตีประธานเฟด ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟด ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,125-1,140 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG
-หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB