สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(22 เมษายน 2568)--------นายภัทรพล วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)TRUBB เปิดเผยว่า ขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีหรือข้อพิพาทที่สำคัญ โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้

ข้อมูลคู่กรณี
กลุ่มบุคคลธรรมดา

เหตุการณ์ข้อพิพาท
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง เพื่อขับไล่บริษัทย่อยออกจากที่ดินโดยอ้างเรื่องการผิดนัดการจ่ายค่าเช่าที่ดินที่มีทั้งโฉนดที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนและโฉนดที่ถูกเพิกถอนไปแล้วรวมประมาณ 1,430 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวบริษัทย่อยได้ซื้อสิทธิในที่ดินจากชาวบ้านและได้เข้าครอบครองอย่างเปิดเผยและทำประโยชน์ด้วยการปลูกสวนยางพาราเต็มพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2549

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาทและชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินตั้งแต่ปี 2564 พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์รวมเป็นจำนวนค่าเสียหายที่ต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้นประมาณ 0.8 ล้านบาท นอกจากค่าเสียหายดังกล่าว บริษัทย่อยอาจมีความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินและต้นทุนการพัฒนาสวนยางเป็นจำนวนรวม 218.60 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 บริษัทย่อยได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและดำเนินการยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด เพื่อให้บริษัทย่อยมีสิทธิเข้าไปบำรุงรักษาและดูแลทำประโยชน์ในต้นยางพาราต่อไป ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีโดยบริษัทย่อยได้วางเงินหลักประกันการชำระหนี้และหลักประกันความเสียหาย นอกจากนี้ บริษัทย่อยได้ทำหนังสือไปยังหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องหากที่ดินอยู่ในข่ายมีคำสั่งเพิกถอนขอให้เร่งดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว เพื่อที่บริษัทย่อยจะได้นำแถลงต่อศาลอุทธรณ์เพื่อประกอบการวินิจฉัยคดีให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผลของคดีความยังมีความไม่แน่นอนและไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ บริษัทย่อยจึงยังไม่ได้ตั้งประมาณการค่าความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว

ข้อมูลคู่กรณี
บุคคลธรรมดา

เหตุการณ์ข้อพิพาท
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่ง เพื่อขับไล่บริษัทย่อยออกจากที่ดินพิพาทโดยไม่ต้องทำลายต้นยางพาราที่ปลูกในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ซึ่งบริษัทย่อยอ้างว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทที่มีโฉนดดังกล่าวประมาณ 237 ไร่จากชาวบ้านและได้เข้าครอบครองอย่างเปิดเผยและทำประโยชน์ด้วยการปลูกสวนยางพาราเต็มพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2549เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแต่ต้องชดใช้ค่าต้นยางพาราให้บริษัทย่อยประมาณ 7.1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย และให้บริษัทย่อยชำระค่าขาดประโยชน์และค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ประมาณ 0.8 ล้านบาท นอกจากค่าเสียหายข้างต้น บริษัทย่อยอาจมีความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินและต้นทุนการพัฒนาสวนยางเป็นจำนวนรวม 25.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทย่อยได้ทำหนังสือไปยังหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องหากที่ดินอยู่ในข่ายมีคำสั่งเพิกถอนขอให้เร่งดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าว เพื่อที่บริษัทย่อยจะได้นำแถลงต่อศาลอุทธรณ์เพื่อประกอบการวินิจฉัยคดีให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทย่อยได้ตั้งประมาณการความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วจำนวนรวม1.3 ล้านบาท และค่าเผื่อการด้อยค่าของสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินจำนวน 3.9 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 บริษัทย่อยได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขอเรียนว่าหากมีความคืบหน้าของทั้งสองคดีจะแจ้งกับให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบต่อไป