Today’s NEWS FEED

News Feed

ฟิทช์ คงอันดับเครดิต ปตท. ที่ระดับ ‘BBB+’/‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

280

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(22 เมษายน 2568)------------ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) และอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-Term Local-Currency Issuer Default Rating) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ที่ ‘BBB+’ และอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะสั้น (International Short-Term Issuer Default Rating) ที่ ‘F1’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของโครงการออกหุ้นกู้ (Medium-Term Debenture Program) มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท และโครงการออกหุ้นกู้มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนล้านบาท ที่ ‘AAA(tha)’

อันดับเครดิตของปตท. สะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่ระดับ ‘bbb+’ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย (‘BBB+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ (Government-Related Entities Rating Criteria) ของฟิทช์ อันดับเครดิตระยะยาวและระยะสั้นของปตท. จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย หากสถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ถูกปรับลงในอนาคต และฟิทช์พิจารณาว่าโอกาสในการได้รับการสนับสนุนภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตข้างต้นที่อยู่ในระดับสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตที่มั่นคง จากธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทแบบครบวงจร รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยฟิทช์มองว่าธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และเคมีภัณฑ์จะยังคงเป็นธุรกิจหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของปตท. ไปจนถึงปี 2573 และปตท. มีแผนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจพลังงานใหม่ๆ ที่มีคาร์บอนต่ำ รวมถึงธุรกิจอื่น นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน มากขึ้นในอนาคต

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในระดับสูงมาก: ฟิทช์มองว่าบทบาทของปตท. ในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐฯ (Preservation of government policy) ทางด้านพลังงานอยู่ในระดับสูงมาก โดยปตท. มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ การผิดนัดชำระหนี้ของปตท. จะส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า และทำให้ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศลดลง นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ ในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้ (Contagion risk) อยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน เนื่องจากฟิทช์มองว่า ปตท. เปรียบเสมือนตัวแทนของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจ ที่มีการกู้เงินและออกหุ้นกู้ ดังนั้นการผิดนัดชำระหนี้ของปตท. จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกู้ยืมเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้นทุนทางการเงินของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย

ความรับผิดชอบในการให้การสนับสนุนในระดับสูง: ฟิทช์ประเมินเรื่องการดูแลและการควบคุม (Decision-making and oversight) ของภาครัฐฯ ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง เนื่องจากภาครัฐฯ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ร้อยละ 63 ในปตท. แม้ว่าภาครัฐฯ มีนโยบายให้ปตท. ดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีการควบคุมนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์หลักๆ ในภาพกว้าง นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าการสนับสนุนจากภาครัฐฯ (Precedents of support) ต่อปตท. อยู่ในระดับสูง ฟิทช์เชื่อว่าการที่ภาครัฐฯ ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อประเทศเช่นเดียวกันกับธุรกิจพลังงาน น่าจะทำให้เชื่อได้ว่าภาครัฐฯ น่าจะให้การสนับสนุนแก่ปตท. เช่นกันในกรณีที่บริษัทฯ มีความต้องการ แม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เนื่องจากปตท. มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

ผลประกอบการอ่อนตัวลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของปตท. จะอ่อนตัวลงในปี 2568 เนื่องจาก EBITDA จากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลดลง จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลง และการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม EBITDA ของปตท. จะยังคงแข็งแกร่งที่ประมาณ 3.55 แสนล้านบาทในปี 2568 (ปี 2567 อยู่ที่ 3.63 แสนล้านบาท) และอยู่สูงกว่าในปี 2559-2563 ฟิทช์คาดว่า EBITDA จากธุรกิจปิโตรเคมี น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2568 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะยังคงอ่อนแอ จากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของความต้องการของผู้บริโภคจากประเทศจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์

การลงทุนที่สูง: ฟิทช์คาดว่ากลุ่มปตท. จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ยังคงสูง จากการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.; อันดับเครดิต BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทลูกในธุรกิจนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.7-7.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงปี 2568-2569 จาก 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2567 นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2569-2570 เป็นผลมาจากความล่าช้าในพัฒนาโครงการขยายโรงกลั่น โครงการ Clean Fuel Project (CFP) ของบริษัท บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+ (tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งทำให้โครงการดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าสถานะทางเงินของปตท. จะยังคงแข็งแกร่งอยู่ และสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ แม้ว่าฟิทช์คาดการว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจะเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ ปตท. จะทำให้ผลกระทบจากการซื้อหุ้นคืนต่อสถานะทางการเงินมีไม่มากนัก โดยฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะเพิ่มขึ้น 0.04 เท่า จากการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของปตท. น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.9-2.0 เท่าในปี 2568-2569 จาก 1.6 เท่า ในปี 2567 แต่ยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบัน

ห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร: ปตท. จะยังคงขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยจะมุ่งเน้นแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อทำให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทยมีความมั่นคง โดยปตท.สผ. วางแผนที่จะเพิ่มการผลิตปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปีในช่วงห้าปีข้างหน้า และเพิ่มให้ถึงประมาณ 8.06 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันภายในปี 2572 (โดยในปี 2567 อยู่ที่ 6.96 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) บริษัทฯ จะยังคงเน้นการผลิตก๊าซธรรมชาติ (มีสัดส่วนร้อยละ 73 ของการผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดในปี 2567) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญในระหว่างการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ

ธุรกิจท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติและการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความสม่ำเสมอ อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่มีความมั่นคง และสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวซึ่งมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำจากคู่สัญญาในลักษณะ take-or-pay รวมถึงโครงสร้างราคาที่สามารถส่งผ่านต้นทุนการขายให้แก่ลูกค้าได้ แต่กำไรจากธุรกิจการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากการปรับราคาของต้นทุนก๊าซธรรมชาติตามสัญญาการซื้อขายระยะยาว จะช้ากว่าการปรับราคาของราคาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ก๊าซธรรมชาติเหลวที่นำเข้าจะถูกจัดจำหน่ายแก่ผู้ใช้ จะต้องผ่านสถานีรับก๊าซธรรมชาติเหลว และระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบัน ปตท. เป็นผู้ดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว โดย ปตท. จะคิดค่าบริการตามที่หน่วยงานกำกับธุรกิจพลังงานเป็นผู้กำหนด

กลยุทธ์ในการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน: ปตท. ยังคงให้ความสำคัญต่อธุรกิจ ที่บริษัทมีความแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน และธุรกิจไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ในขณะที่จะทบทวนการดำเนินงานในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน โดยธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจไฮโดรคาร์บอนของ ปตท. มุ่งเน้นไปที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า, วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและการแพทย์ (Life Science) และเทคโนโลยี รวมถึงโลจิสติกส์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ เช่น การดักจับและจัดเก็บคาร์บอน และไฮโดรเจน เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวและเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ฟิทช์มองว่าแผนของ ปตท. ในการเปลี่ยนผ่านพลังงานมีความสมดุลอย่างเหมาะสมระหว่างความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านและความเสี่ยงในการดำเนินการ ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่สายธุรกิจที่มีความต้องการมั่นคงตลอดการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ขยายเข้าสู่ธุรกิจที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอนซึ่งจะต้องการเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนามากขึ้น

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของปตท. จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย หากสถานะเครดิตโดยลำพังของปตท. ถูกปรับลงในอนาคต ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ ของฟิทช์ และฟิทช์พิจารณาว่าโอกาสในการได้รับการสนับสนุนภาย ใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตข้างต้นที่อยู่ในระดับสูง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อสังคมและการเมืองในด้านการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐฯในกรณีที่บริษัทผิดนัดชำระหนี้ อยู่ในระดับสูงมาก เช่นเดียวกันกับของ PT Pertamina (Persero) (อันดับเครดิต BBB แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ของประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ ในกรณีที่ปตท. ผิดนัดชำระหนี้ อยู่ในระดับสูงมาก เช่นเดียวกันกับของ Pertamina เนื่องจากฟิทช์มองว่า ปตท. เปรียบเสมือนตัวแทนของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจ ที่มีการกู้เงินและออกหุ้นกู้ เช่นกัน

ฟิทช์ประเมินความรับผิดชอบในการให้การสนับสนุนของภาครัฐฯ แก่ปตท. ในระดับสูง ซึ่งต่ำกว่าของ Pertamina ที่อยู่ที่ระดับสูงมาก เนื่องจากฟิทช์มองว่าภาครัฐฯ มีการดูแลและควบคุม Pertamina ที่มากกว่าของปตท. โดย Pertamina ได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐฯ ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา ในการช่วยสนับสนุนนโยบายของภาครัฐฯ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสังคม ในด้านการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐฯ ต่อปตท. แม้ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เนื่องจากปตท. มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง แต่การที่ภาครัฐ ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจอื่นที่มีความสำคัญใกล้เคียงกัน น่าจะทำให้เชื่อได้ว่าภาครัฐฯ น่าจะมีการสนับสนุนให้แก่ปตท. เช่นกันในกรณีที่บริษัทมีความต้องการ

สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ราคา 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568, 2569 และ 2570, และ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2571
- ปริมาณการขายของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปีโดยเฉลี่ย ในปี 2568-2571 (ปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8)
- EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจปิโตรเคมี อ่อนตัวลงเล็กน้อยในปี 2568
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2568-2570 (2567 มีการลงทุนทั้งสิ้น 1.89 แสนล้านบาท)
- มีการซื้อหุ้นคืนในปี 2568 จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท
- การจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 50-55 ของกำไร

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตประเทศไทย หากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับประเทศไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจัยลบ
- การปรับลดอันดับเครดิตประเทศไทย

ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท.:
- การลงทุนที่สูงโดยใช้เงินกู้ยืม หรือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาด ซึ่งทำให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage สูงกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎระเบียบ การแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและการปรับค่าผ่านท่อก๊าซที่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อ ปตท.

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคตของประเทศไทย ที่ได้ประกาศในรายงานลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567
ปัจจัยลบ:
- ด้านหนี้สาธารณะ: การที่รัฐบาลไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณ และทำให้ไม่สามารถรักษาระดับหนี้สินของรัฐบาล (General Debt to GDP) ให้คงที่ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
- ด้านโครงสร้าง: ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระดับที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว
ปัจจัยบวก:
- ด้านเศรษฐกิจมหภาค: การปรับตัวดีขึ้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลาง โดยไม่ทำให้หนี้ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- ด้านหนี้สาธารณะ: การลดหนี้สินของรัฐบาล (General Debt to GDP) เช่นอาจเกิดจากงบประมาณขาดดุลที่ลดลง และ/หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางที่ดีขึ้น


สภาพคล่อง
สภาพคล่องของปตท. ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 4.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 เมื่อเทียบกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.9 แสนล้านบาท นอกจากนี้สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีภาระการชำระคืนหนี้ที่บริหารจัดการได้ โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 10 ปี

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปลุกหุ้นใหญ่ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย สูตรเดิม มักใช้ได้เสมอ ใช้หุ้นDELTA นำ ตามด้วย .....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้