Market Wrap-Up
- SET วันที่ 9 เม.ย.68 ปิด +13.59 จุด อยู่ที่ 1,088.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย 50,884 ลบ.สถาบันขาย 347 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 284 ลบ. ต่างชาติซื้อ 410 ลบ. และรายย่อยซื้อ 221 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 1,488 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น CPALL,AOT,CPF,PTT,ADVANC และยอดขายหุ้น BCP,KBANK,TOP,BDMS,KTB มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 9 ลบ. หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ TAIWANAI13,NDX01,COM7 โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Long ใน Index Futures จำนวน 16,460 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 40,233 สัญญา ต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย 1,042 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA +7.87%, S&P500 +9.52%, Nasdaq +12.16% ได้แรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยี +14.1%, สินค้าฟุ่มเฟือย +11.3% นำโดย Nvidia +18.7% และ Apple +15.3% หลัง ปธน.ทรัมป์สั่งเลื่อนเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไป 90 วัน มีผลทันทียกเว้นจีน ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -3.5% จากแรงขายกลุ่มบริการสุขภาพ -5.8% จากความกังวลอาจถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้า
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ฟื้นตัวแรง หลัง ปธน.ทรัมป์สั่งเลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ออกไป 90 วัน เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศคู่ค้า 75 ประเทศ แต่ยังเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนที่อัตรา 125% หลังจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษีไปที่ระดับ 84% โดยมีผลบังคับใช้ทันที ส่งผลให้แรงกดดันของสงครามการค้าลดลง และดัชนี VIX Index ที่วัดความผันผวนของตลาดหุ้นปรับลดลงอยู่ที่ 33.62 & วันก่อนที่ 57.96 จุด ประเด็นเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตามรายงาน US CPI มี.ค. คาด 2.5% & ก.พ. 2.8% YoY และวันศุกร์ ม.มิชิแกนรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ เม.ย. คาด 54.0 & มี.ค. 57.0 , คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐ 1 ปีข้างหน้า มี.ค. คาดที่ 5.1% และรายงานกำไร Q1/68 ของ JPMorgan, Morgan Stanly, Wells Fargo
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับลดลงจากแรงขายกลุ่มเฮลธ์แคร์ -5.8% จากความกังวลสหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาจากยุโรป ส่งผลให้หุ้นโรช, โนโว นอร์ดิสค์, แอสตร้าเซเนก้าปรับลดลง โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการก่อนจะทราบข่าว ปธน.เลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไป 90 วัน ส่วนสัปดาห์หน้าติดตามการประชุม ECB วันที่ 17 เม.ย. คาดจะลดดอกเบี้ยลง 25% และปีนี้คาดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 - 3 ครั้ง
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้ +1.31%, ฮั่งเส็ง +0.68% แม้ว่าจีนจะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ที่ 104% แต่ตลาดหุ้นจีนยังได้แรงหนุนจาก ม.รักษาเสถียรภาพของรัฐบาลจีน โดยให้กองทุนมั่งคั่ง Central Huijin เพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ขณะที่วานนี้ดัชนีนิเกอิ -3.93%, Kospi เกาหลีใต้ -1.74% หลัง ม.ภาษึศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐเริ่มบังคับใช้วันแรก แต่เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้น 5 – 7% หลัง ปธน.ทรัมป์ได้เลื่อนการเก็บภาษีดังกล่าวออกไป 90 วัน ยกเว้นจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันที
- SET วานนี้ +1.26% ปริมาณการซื้อขาย 5.0 หมื่น ลบ. สถาบันขาย 347 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 284 ลบ. ต่างชาติซื้อ 410 ลบ. และรายย่อยซื้อ 221 ลบ. ได้แรงหนุนจากกลุ่มเกษตร & อาหาร, รพ., ค้าปลีก ที่เป็นกลุ่มปลอดภัย ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยจาก ม.กัดกันการค้า เนื่องจากเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ขณะที่กลุ่ม Global Play เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี ก็มีแรงซื้อ Cover Short ในช่วงบ่าย หลังมีประเด็นข่าวจีนอาจจะไม่ใช้ ม.ภาษีตอบโต้กลับสหรัฐ แต่จะเลือกจะใช้วิธีอื่น ๆ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังเชิงบวกภาวะสงครามสหรัฐ – จีนอาจลดลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตามเช้านี้คาดดัชนี SET มีโอกาสปรับขึ้นตามดัชนีภูมิภาคที่ปรับขึ้น 5 – 7% หลัง ปธน.ทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไป 90 วัน ระหว่างรอการเจรจากับประเทศคู่ค้า 75 ประเทศรวมถึงไทยด้วย ส่งผลให้แรงกดดันจากภาวะสงครามการค้าลดลง
Daily Strategy
- วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,080 – 1,100 แนวต้าน 1,130 – 1,150 คาดดัชนีจะฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาคเช้านี้ที่ปรับขึ้น 5 – 7% จากความกังวลต่อภาวะสงครามการค้าที่ลดลง กอปรมีแรงซื้อจากการ Cover Short แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้น Big Cap. ที่ราคาอยู่ในโซนถูก เช่น DELTA,CCET,GULF,SCC,BBL,KBANK,KTB / กลุ่มปลอดภัย เช่น CPALL,CPAXT,HMPRO,BJC,OR,BDMS,BCH
- TFG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 5.20 บาท) ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 67 มีรายได้รวม 5 หมื่นล้านบาท +17%YoY และมีกำไรสุทธิ 3.1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 813 ล้านบาท ส่วนแนวโน้ม 1Q68 มีปัจจัยหนุนการเติบโต QoQ, YoY จากราคาสุกรในประเทศและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Supply ทั่วโลกลดลงจากโรค ASF ขณะที่สถานการณ์หมูเถื่อนในไทยคลี่คลายไปแล้ว ด้านต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงตราราคากากถั่วเหลือง และข้าวโพดอาหารสัตว์ สำหรับปี 68 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15%YoY และเตรียมขยายสาขาร้าน "ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต" ให้มีจำนวนสาขา 600 แห่ง จากปีที่ผ่านมามีสาขาอยู่ที่ 401 แห่ง ช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้ธุรกิจ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 68 ที่ 3.8 พันล้านบาท +22%YoY
- PR9* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 28.74 บาท) Bloomberg Consensus คาดกำไร 1Q68 อยู่ที่ 186 ลบ.(+17%YoY, -10%QoQ) อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ยัง +YoY ดี คาดจากแรงหนุนในประเทศ(เช่น ไข้หวัดใหญ่, ฝุ่น PM 2.5) และกลยุทธของ PR9* ที่ทำการตลาดไปหาผู้ป่วยต่างชาติมากขึ้น(อย่างเช่น ชาติตะวันออกกลาง) ด้านPR9*เอง ปี68 นี้ ตั้งเป้ารายได้เติบโต +10 ถึง 20%YoY โดยบริษัทยังคงเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนคนไข้ต่างประเทศขึ้นราว 20% จากฐานคนไข้รวม ทั้งนี้ตลาดคาด กำไรสุทธิ ปี68 และ ปี69 ของ PR9* จะขยายตัวมาอยู่ที่ 812 ลบ.(+14%YoY) และ 902 ลบ.(+11%YoY) ตามลำดับ
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI พ.ค. +$2.77 อยู่ที่ $62.35 / บาร์เรล, Brent มิ.ย. +$2.66 อยู่ที่ $65.48/บาร์เรล หลัง ปธน.ทรัมป์เลื่อนการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไป 90 วัน และมีผลบังคับใช้ทันที ส่งผลให้แรงกดดันต่อสงครามการค้าลดลง ขณะที่ EIA รายงานสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 2.6 ล.บาร์เรล มากกว่าคาดจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล.บาร์เรล
Gold Update(+) Comex Gold มิ.ย.+$89.20 อยู่ที่ $3,079.40 /ออนซ์ ได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนต่อภาวะสงครามการค้าสหรัฐ – จีน ขณะที่ Fed Minutes มี.ค. ชี้เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ขายสุทธิรวม -53.03 ล.ดอลลาร์สหรัฐ โดยซื้อหุ้นไทย +11.86 ล.ดอลลาร์สหรัฐ , ขายหุ้นอินโด ฯ -64.89 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดทำการ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีแข็งค่าอยู่ที่ 34.17 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ลดลงอยู่ที่ 4.279 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -83 จุด อยู่ที่ 1,259
(+) BitCoinเช้านี้ +7.44% อยู่ที่ 82,191 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
สัปดาห์ที2 ม.หอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่น
หอการค้าไทย
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและ
อัพเดตสถานการณ์ลงทุน
ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์
ต่างประเทศ
09 เม.ย. US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
10 เม.ย. US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
US รายงานการประชุมของ FOMC
US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)(มี.ค.)
11 เม.ย. US ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) (มี.ค.)
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 50% Fixed Income 35% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio April 2025: CPALL, SYNEX*, KLINIQ, DOHOME*, BDMS
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th