"Defensive Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Down" ต้าน 1177/1185จุด รับ 1155/1130 จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ตลาดอยู่ในภาวะ Risk-off เงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ +0.67% ทำ All time high พันธบัตร US Bond Yield 10 ปีดิ่ง -13 bps สู่ 4.06% ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกสูงขึ้น หลังการใช้มาตรการภาษีเท่าเทียมสหรัฐเลวร้ายกว่าคาด Trump ใช้กรอบภาษีตอบโต้ระดับสูง 15 ประเทศหลักที่เป็นเป้าหลักโดนเก็บ 10%-49% (เฉลี่ยอยู่ที่ 30.4%) ไทยอยู่ในกลุ่มที่โดนเก็บโซนสูง 36% เป็นรองเฉพาะจีน 54% (ภาษีเดิมที่โดนเก็บเดิม+ภาษีเท่าเทียม) กัมพูชา 49% เวียดนาม 46% และบังกลาเทศ 37% กระทบไทยที่ส่งออกคิดเป็น 55% ของ GDP ขณะที่ส่งออกไปสหรัฐฯราว 16% ของส่งออกรวม เป็นลบหุ้นอิงความต้องการภายนอก อาทิ กลุ่มเกษตร อาหาร ชิ้นส่วน และ ยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ อาทิ ITC AAI PLUS TU ASIAN และน่าจะกดดัน SET วันนี้ 2.) ความเสี่ยงตลาดหุ้นสหรัฐฯเศรษฐกิจที่จะสูงขึ้นมีนัยฯ อิง 15 ประเทศที่สหรัฐปรับเพิ่มภาษีเท่าเทียมมากสุด สหรัฐมียอดนำเข้าสินค้ามากถึง 75% ของนำเข้ารวม คาดมีโอกาสจะเห็นการเจรจาต่อรองระยะถัดไป กลยุทธ์ ตลาดอยู่ในช่วงหาฐานปรับฐาน -1.5%-3% เน้น Domestic ค้าปลีก ร.พ. สื่อสาร และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงในประเทศ วันนี้แนะ BDMS
Daily outlook: "Down" ต้าน 1177/1185 จุด รับ 1155/1130 จุด
What happened around the world?
(*)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ ผันผวน โดยดัชนี Dow jones ร่วงลงในช่วงแรก ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นในช่วงท้ายตลาด ก่อนที่จะทราบรายละเอียดภาษีเท่าเทียม Reciprocal Tariff ที่ประกาศช่วงตี 3 อิง Dow jones +0.56%, ดัชนี Nasdaq +0.87%d-d, S&P500 +0.67% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นเกือบทุกกลุ่มมีเพียง Consumer staples, ICT ที่ปรับลง โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่นหลักๆคือ Consumer discretionary, Industrials, Financial, Materials ฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Amazon.com +2% หลังจากมีรายงานข่าวอะเมซอนให้ความสนใจซื้อกิจการ TikTok, Tesla +5.3% หลังจาก Politico สื่อออนไลน์สหรัฐฯ รายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้แจ้งให้สมาชิกในคณะบริหารของเขาทราบว่า อีลอน มัสก์ CEO Tesla จะลาออกจากการเป็นผู้นำของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เพื่อกลับไปดูแลกิจการ ฯลฯ
(-)US Futures : เช้านี้ US Dowjones Futures -2.3%, US Tech 100 Futures -4.3% รับรายละเอียด ภาษีเสหรัฐท่าเทียมสหรัฐฯ(US Reciprocal Tariffs) มากกว่าที่คาด ประเมินเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นเอเซีย และไทยวันนี้
(-)US Tariff : สหรัฐประกาศใช้ภาษีเท่าเทียม(US Reciprocal Tariffs) มากกว่าที่คาด คือ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่อัตรา 10% ต่อ (190 ทุกประเทศ มีผล 5 เม.ย.) (Universal Tarrifs) โดยจะมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตราที่สูงขึ้นกับหลายประเทศเช่น จีน อินเดีย สหภาพยุโรป รวมถึงไทย รายละเอียด เวียดนาม: 46% จีน: 34% อินโดนีเซีย: 32% อินเดีย: 26% เกาหลีใต้: 25% ญี่ปุ่น: 24% สหภาพยุโรป(EU): 20% ส่วน ไทย: 36% (สูงกว่าที่ตลาดคาด ราว 10 - 25%) KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นไทยวันนี้ แต่มองระยะสั้น ประเมิน 1.)สหรัฐต้องการให้เปิดการเจรจาต่อรองเพื่อให้ไทยและประเทศขาดดลนำเข้าสินค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.)มองความเสี่ยงน่าจะสะท้อนในตลาดมากแล้ว อิง YTD ปรับลง -16.3% ประเมินน่าจะเป็นมาตรการกีดกันชุดท้ายๆแล้ว ทำให้ความผันผวนคาดอยู่ในช่วงปลาย
(*/+)US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีกว่าคาด 1.)ตัวแลขแรงงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน เดือน มี.ค. เร่งขึ้นมาที่ 1.55 แสนราย ดีกว่าตลาดคาด 1.18 แสนราย prev. 7.7 หมื่นราย 2.) คำสั่งซื้อสินค้าโรงงาน เดือน ก.พ. +0.6%m-m ดีกว่าตลาดคาด 0.5% prev. 1.7%
(+) Nintendo DR : Nintendo บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเผยรายละเอียดเครื่องเล่นเกม Switch 20:00 น. ตามเวลาไทย สรุป คือ วางจำหน่าย 5 มิ.ย. 25 โดยจุดเด่นคือ 1.) หน้าจอ LCD ขนาด 7.9 นิ้ว หน้าจอ 120fps (ใหญ่และคมชัดกว่ารุ่นเก่า) 2.) มีระบบ Backwards Compatible นำเกมจาก Switch 1 ไปเล่นบน Switch 2 ได้ (ไม่ทุกเกม) ฯลฯ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้น Nintendo Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 11,561 JPY มี Upside ราว +11.5% จากราคาปัจจุบัน ดังนั้นมุมมองของเราสามารถเข้าเก็งกำไรตามรอบของกระแสเปิดตัวเครื่องเกมส์รุ่นใหม่ได้ โดยอิงจากทิศทางเทคนิค ปัจจุบันราคาหุ้นย่อตัวลงตามตลาดมาเข้าใกล้กรอบแนวรับ 9600 เยน และแนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. 24 เป็นต้นมา ดังนั้นการย่อตัวลงเป็นเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไร "Trading Buy" เล่นรอบฟื้นตัวได้ มีเป้าหมายบริเวณแนวต้าน 11450 เยน เป็นเป้าหลัก และ มองบวกต่อ DR หุ้นไทย คือ Nintendo19
(*) To Monitors : ฝั่งสหรัฐ 3 เม.ย. PMI ภาคบริการ (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 53.2 จุด prev. 53.5 จุด 4 เม.ย. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร มี.ค. คาด 1.35 แสนราย prev. 1.51 แสนราย อัตราการว่างงานมี.ค. ทรงตัวที่ 4.1% ค่าจ้างรายชั่วโมง คาด 0.3%m-m, 3.9%y-y และวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. เวลา 22.25 น.ตามเวลาไทย การกล่าวสุนทรพจน์ของ ประธาน Fed Powell ในสารประจำปีของ Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) ที่ รัฐเวอร์จิเนีย โดยเรื่องหลักคือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฝั่งจีน 3 เม.ย. Caixin PMI ภาคบริการคาด 51.5 จุด
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี แนวโน้ใหลักยังเป็นขาลง ล่าสุดแกว่งตัวลง - 3 bps อยู่ที่ 3.84% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -13 bps 4.06% หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบีเยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง CPAXT CPALL ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงมาที่ 103.3 จุด
(*/+)Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.62%d-d ปิดที่ USD 74.95/barrel , น้ำมันดิบ West Texas +0.72%d-d ปิดที่ USD 71.71/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
What happened in Thailand?
(*/+) SET: SET Index ปรับขึ้นต่อ +4.76 จุด (+0.4%) ปิดที่ระดับ 1172.69 จุด ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นได้อีกครั้ง แต่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง 2.49 หมื่นล้านบาท โดยตลาดรอรายละเอียด ภาษเท่าเทียมที่สหรัฐฯกำลังจะประกาศใช้ (ทราบเช้ามืดวันนี้ (3 เม.ย.)) ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเซียที่ปรับขึ้นในทางเดียวกัน ฯ โดยหุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีและแข็งกว่าตลาดคือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) รับข่าวบวก ครม. ให้แนวทางปรับลดค่าไฟฟ้า พ.ค. - ส.ค. เหลือ 3.99 บาท (prev. 4.15 บาท) โดยกลุ่มค้าปลีกถือหุ้นได้ประโยชน์สูงทั้งต้นทุนและรายได้ กลุ่มขนส่ง (AOT) หุ้น Deep Value ที่มีประเด็นบวกเข้ามาในส่วนการเดินหน้าร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจรที่นำเข้าสู่สภา หนุน New S Curve ภาคบริการ กลุ่มการเงิน (MTC) เก็งโอกาสเห็นภาพนโยบายการเงิน+การคลังสอดประสาน โดย TH Bond Yield 10 ปีชี้นำภาพดังกล่าว ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง กลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP) ราคาน้ำมันชะลอการปรับขึ้น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC) หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD เงินปันผล กลุ่ม ICT (ADVANC, TRUE) ถูกขายทำกำไรหลัง Outperform ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสัปดาห์
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +45.8 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +91.6ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -4,822 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 34.4 +/- บาท
(*/+)Sign of Fundflows: ฝั่งตลาดพันธบัตรเก็งภาพโอกาสใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ต่างชาติเร่งซื้อพันธบัตรอีก +3.1 พันล้านบาท ถ่วง TH Bond Yield ลงมาอยู่ในระดับ 1.94% ต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 21 ซึ่งอีกด้านถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่เชิงเปรียบเทียบ ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (Earning Yield) จะถ่างกว้างขึ้น และบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง อาทิ เช่าซื้อ MTC, JMT High Yield ADVANC หนี้สูง CPALL, MINT, BA
(+) Domestic Long-term Fund: ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติรับหลักร่างแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ (หวยเกษียณ) ในวาระที่ 1 ประเมินเป็นสัญญาณบวกต่อเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศ เนื่องจากเราประเมินเม็ดเงินโครงการดังกล่าวปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท (ออกฉลากงวดละ 5 ล้านใบ ใบละ 50 บาท ปีละ 52 งวด) เม็ดเงินดังกล่าว ตามนโยบาย กอช. ที่แบ่งมาลงทุนหุ้นได้ 20% แม้เม็ดเงินใหม่ต่อปีจะอยู่ราว 2.6 พันล้านบาท แต่เม็ดเงินจะอยู่ในลักษณะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ละปี อิงเกณฑ์ i.) เงินลงทุนหวยเกษียณผู้ที่มีอายุ < 60 ปี เงินดังกล่าวจะถอนออกมาไม่ได้จนกว่าจะอายุ 60ปี ii.) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี จะถอนเงินออกมาได้ต้องรอระยะเวลา 5 ปี ระยะสั้นคาดตลาดเริ่มดักเก็งกำไรหุ้น Deep Value ที่ KSS แนะนำเป็นหุ้นเด่นช่วง 2Q25F เนื่องจากเป็นหุ้นพื้นฐานระยะกลาง 2-3 ปีข้างหน้ามั่นคง ผสาน ปัจจุบันมีส่วนลดมากจากค่าเฉลี่ย และให้ Div Yield ระดับสูง > 2%
10 หุ้น Big Caps (SCGP, HMPRO, CPALL, MINT, GPSC, BDMS, BH, BBL, KBANK, AOT)
8 หุ้น Mid Caps (JMT, ERW, WHA, PLANB, SPALI, CENTEL, BCH, AMATA)
(*/+)Infra Tech: กระแสธุรกิจใหม่ของโลกยังเดินหน้าไปในส่วนธุรกิจดิจิตอล Gartner ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลกโดยเฉพาะธุรกิจไอที โดยคาดการณ์ล่าสุด มี.ค.25 พบว่า มูลค่าใช้จ่าย GenAI ระดับโลก
ด้านบริการจะมีมูลค่า 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 162.6%
ซอฟต์แวร์ มีมูลค่า 3.71 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโต 93.9%
อุปกรณ์ (ดีไวซ์) มีมูลค่า 3.98 แสนล้านดอลลาร์ เติบโต 99.5%
เซิร์ฟเวอร์ มีมูลค่า 1.8 แสนล้านดอลลาร์ เติบโต 33.1 %
โดยรวมหนุนภาพรวมตลาดจะมีมูลค่า 643,860 ล้านดอลลาร์ เติบโต 76.4% อิงในส่วนของไทยที่เชื่อมโยงกับการให้บริการในฐานะ (AI Adoptor) เพื่อนำมาต่อยอดประสิทธิภาพในภาคธุรกิจจริง (Real Sector) เราประเมินการใช้จ่ายฝั่งบริการและ Software รวมถึงอุปกรณ์ที่เร่งยังบ่งชี้ภาพบวก และในฐานะรัฐฯต้องการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐาน คาดนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติมของผู้ประกอบการระดับโลกเช่นกัน ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว โรงไฟฟ้า GULF สื่อสาร ADVANC, TRUE ดิจิตอล BBIK, BE8 รับเหมา STECON, INSET และหุ้นพร้อมนำเทคโนโลยีต่อยอด อาทิ CPALL, SCC, PTT
(*/+)Solar: ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... เมื่อเร็วๆนี้ มีประกาศว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (Public Hearing) เกี่ยวกับ "ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ...."ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยโดยลดขั้นตอน ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. – 10 เม.ย. 25 เราประเมินระยะยาวการติดตั้ง Solar rooftop ในอนาคต เป็นบวกต่อ GUNKUL GULF ADVANC ซึ่งมีแนวทางขยายตลาดเข้าสู่ solar ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ii.) ระยะกลาง-ยาวเป็นการปูทางสู่การขายไฟฟ้าเสรี และช่วยลดค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ติดตาม
3 เม.ย. ประธานสภาฯ บรรจุร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสภา 3 เม.ย.นี้ โดยกระทรวงการคลังคาดกฎหมายจะแล้วเสร็จใน 1ปี และเริ่มลงทุนได้ภายใน 3 ปีประเมินกรอบเวลาที่มีความคืบหน้าเร็วดังกล่าว เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI, BA, STECON, MBK, BJC ธนาคาร BBL, KBANK, SCB หุ้นท่องเที่ยว MINT, ERW
4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08%y-y , เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99%y-y
Daily Strategy : BDMS
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Down" คาดสินทรัพย์เสี่ยงโลกเข้าสู่ภาวะ Risk-off หลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น คาดกกดันหุ้นอิงความต้องการภายนอก (External Demand) กลยุทธ์ เน้น หุ้น Domestic ที่ธุรกิจมั่นคง อาทิ ค้าปลีก ร.พ. สื่อสาร โดยเฉพาะกลุ่มที่มี Deep Value และหุ้นที่ได้ประโยชน์ Yield ลง
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• APR25F Stock Picks: AOT, BA, BJC, HMPRO, MTC, PTT, SCC
• 2Q25F Stock Picks : BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: Myanmar Earthquake Impact
วันศุกร์ที่ 31 มี.ค. 25 เวลา 13.20น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่ประเทศเมียนมาร์ สร้างความเสียหายรุนแรงในเมียนมาร์ และเกิดแรงสั่นสะเทือนมาที่ประเทศไทยแบบไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวในเขตเศรษฐกิจ กทม ครั้งที่รุนแรงที่สุด ส่งผลอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม และความเสียหายบางส่วนต่ออาคารสูง ในเขต กทม.
เราประเมินผลกระทบต่อ SET จำกัด เนื่องจากผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและหุ้นในตลาดค่อนข้างจำกัด โดยกลุ่มอสังหาฯระยะสั้น จะมีความกังวลต่อโครงการแนวดิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีดส่วนยอดขายสินค้าดังกล่าวสูง อิงปี 2024 ANAN LPN ORI สัดส่วน 84%, 82% และ 76% ของยอดโอนรวมปี 2024 และในส่วนที่มีความเสียหายออกสื่อมากกว่าบริษัทอื่นๆ AP และ ORI แต่สัดส่วนอสังหาฯในไทย คิดเป็นเพียง 2.5% ของ GDP ปี 2024 ขณะที่กลุ่มประกันมูลค่าความเสียหายราว 2.2-2.5 พันล้านบาท คิดเป็น Market EPS เพียง -0.05 บาทต่อหุ้น โดยยังไม่รวมถึงผลกระทบจำกัดขึ้นหากมีการประกันภัยต่อ ส่วนหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ เป็นหุ้นขนาดกลางเครื่องดื่ม และอาหารเป็นส่วนใหญ่ (MEGA 30%, OSP 10% CBG 7% และ ICHI 7%ของยอดขาย) และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว บริษัทส่วนใหญ่ แจ้งว่ายังไม่มีการยกเลิก Booking แบบมีนัยฯ และโรงแรมยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภาพ SET ผันผวนระยะสั้นก่อนฟื้นตัวได้เร็วเหมือนในเหตุการณ์ภัยพิบัติในอดีต
กลยุทธ์หลัก สำหรับนักลงทุนระยะสั้น-กลาง เน้นหุ้นกลุ่มที่เม็ดเงินมีโอกาสสลับเข้าลงทุนระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ Deep Value ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นฟูโครงสร้างและที่อยู่อาศัยฯ คือ SCC, HMPRO, GLOBAL และกลุ่ม Deep Value หมวดสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT, BJC รวมถึงกลุ่มที่อุตสาหกรรมเป็น Upcycle อาทิ ADVANC, TRUE
ส่วนการเก็งกำไรเน้นไปที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก-กลาง SCGD, DCC กลุ่มเสาเข็ม PYLON และเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง STI, TEAMG, PPS
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
• Beverage (Bullish): Given that the beverage sector is now trading at -2SD of their long-term average multiples, we think it could be attractive for management to consider share buybacks especially because of their high dividend yields. The criteria we use are: 1) high FCF (plenty of cash), 2) low net D/E (no debt constraint), 3) high dividend yields (repurchase earnings accretive) and 4) the FCF % of the market cap (sizeable buybacks to support the share price). We find TACC, ICHI, OSP and SAPPE are ripe for share buybacks. Based on the share repurchasing potential, we think TACC and ICHI are the best share repurchase candidates, given their high dividend yields of 10.5% and 10% respectively which could make the share buybacks earnings accretive. Nevertheless, our top picks remain CBG (highest earnings visibility from domestic energy drink market share gain) and ICHI (on high dividend yield and attractive valuation).
• Commerce (Bullish): Following HMPRO's share repurchase program announced on 25 March 2025 (see report), that led to the 9% share price gain on the next day – we ask who could be the next candidates for share repurchases. We use the criteria: 1) high FCF (plenty of cash), 2) a reasonable net D/E (no debt constraint), 3) high dividend yields (buybacks generate higher returns than repaying debts – making EPS accretive) and 4) high % of FCF to market cap (to ensure sizeable buybacks). We found that BJC and CPALL are the prime candidates for share buybacks.
• SYNEX (Buy, TP25F) Nintendo ประกาศว่า Nintendo Switch 2 จะวางจำหน่ายในประเทศไทยช่วง ก.ค.-ก.ย. ในราคาประมาณ 17,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของเรา เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประกาศดังกล่าว เนื่องจากการประกาศเครื่องเกมใหม่นี้อาจกระตุ้นรายได้ของ SYNEX ในปีนี้และปีหน้า เราคงประมาณการกำไรปี 2025 ของเราไว้ที่ 624 ล้านบาท (+22% yoy) คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายเดิม 14.80 บาท
• Agriculture & Food (Neutral): ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าใหม่เก็บพื้นฐาน 10% จากทุกประเทศ พร้อมเพิ่มอัตราสูงกับประเทศที่มีเกินดุลการค้า โดยไทยถูกเก็บ 36% โดยเราคาดว่าจะกระทบต่อ TU มากที่สุดเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 40% รองลงมา คือ STA รายได้สหรัฐฯราว 15% อย่างไรก็ตาม ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกอันดับหนึ่งของโลกและประเทศที่ผลิตยางพาราก็ถูกภาษีตอบโต้เช่นเดียวกัน ส่วน NER ไม่กระทบเพราะไม่มีรายได้สหรัฐฯ ส่วนกลุ่มเนื้อสัตว์ CPF และ GFPT มองไม่ได้กระทบโดยตรง เพราะไม่มีการส่งออกเนื้อสัตว์ไปสหรัฐฯ โดยหากรัฐบาลมีการต่อรองการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง เพื่อลดแรงกดดันสงครามการค้า จะเป็นผลดีต่อต้นทุนอาหารสัตว์ โดยยังคงน้ำหนักกลุ่มฯเป็น "Neutral" ยังคงเลือก CPF (TP 27.40 บ.) เป็น Top pick
2Q25F Equity Outlook : Value Alpha Playbook
Stock Best Picks : BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, LH, ADVANC
Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA