MAY THE FORCE BE WITH “SET”
TOP PICK BEM / WHA / ADVANC

 

EXTERNAL FACTOR
• ทั่วโลกต่างจับตา ปธน. TRUMP ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) กับประเทศเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในวันนี้ (2 เม.ย. 68) เวลา 16.00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ (ช่วงตี 3 ตามเวลาไทย)

• โดยหนังสือพิมพ์ THE WASHINGTON POST รายงานว่า ปธน. TRUMP อาจเรียก เก็บภาษี 20% ต่อสินค้าส่วนใหญ่ที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐ

• ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากดัชนี TRADE POLICY UNCERTAINTY พุ่งทำ ATH

 

INTERNAL FACTOR
• กระแสความกังวลการขึ้น TAX TARIFF ของ TRUMPกดดันให้มูลค่าการซื้อขายของ SET เบาบางลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย (24 MAR – 1 APR) อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยมูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท • หาก TRUMP พิจารณาเก็บภาษีนำเข้าราว 20% ของสินค้าส่วนใหญ่จริงดังกระแสข่าว ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่า จะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากรายได้ SET INDEX พึงพิงการส่งออกไปสหรัฐราว 3.5% (6.5 แสนล้านบาท)

 

INVESTMENT STRATEGY
• นักลงทุนรอผลสรุปการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ช่วงเวลาตี 2 คืนนี้ ทำให้ช่วง1 –2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิด RISK OFF มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเหลือ 2.7 หมื่นกว่าล้านบาทต่อวัน ลดลงจากระดับปกติราว 35% เช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ

• การเฝ้ารอเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนในช่วงนี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็เชื่อว่า DOWNSIDE ตลาด หุ้นไทยจำกัด หลังเห็นแรงเก็งกำไรสั้นจากต่างชาติที่แอบทยอยซื้อสุทธิสะสมสัญญา SET50 FUTURES กว่า 8.5 หมื่นสัญญา และมีการซื้อสุทธิ CALL OPTION มากกว่า PUT OPTION 5.8 พันสัญญา ในช่วงตั้งแต่ 13 มี.ค. 68 - ปัจจุบัน

 

ปูเสื่อรอ TRUMP ประกาศภาษีตอบโต้คืนนี้
ทั่วโลกต่างจับตา ปธน. TRUMP ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) กับประเทศเก็บภาษี นำเข้าจากสหรัฐฯ ในวันนี้ (2 เม.ย. 68) เวลา 16.00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ (ช่วงตี 3 ตามเวลาไทย) โดยหนังสือพิมพ์ THE WASHINGTON POST รายงานว่า ปธน. TRUMP อาจเรียกเก็บภาษี 20% ต่อสินค้าส่วนใหญ่ที่มีการนำเข้าสู่ สหรัฐ

 

ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากดัชนี TRADE POLICY UNCERTAINTY พุ่งทำ ATH อีกทั้ง BLOOMBERG ยังคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจะผลักให้อัตราภาษีเฉลี่ยพุ่งขึ้นราว 21.7%

 

กลับมามองที่บ้านเรา มีความสุ่มเสี่ยงค่อนข้างสูง ที่อาจถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม หลังเข้าข่าย หลายเงื่อนไข

• ไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น โดยในปี 2017 อยู่ลำดับที่ 14 (มูลค่า 2.01 หมื่นล้านเหรียญฯ) ส่วนปี 2024 อยู่ลำดับที่ 11 (มูลค่า 4.56 หมื่นล้านเหรียญฯ)

• ไทยยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่สูงกว่าของสหรัฐฯ ราว 8%

• ไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คน กลับจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. 68 ทำไทยถูกประณามจากทั้งสหรัฐฯ และยุปโร

• ไทยมีสัญญาณโน้มเอียงไปทางจีนมาขึ้น หลังบ้านเราได้เข้าไปเป็น PARTNER ของกลุ่ม BRICS

 

ซึ่งผลที่ตามมาจากการถูกกัดกันทางการค้า อาจกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะถัดไป เพื่อ DOWNSIDE ต่อ GDP GROWTH (ล่าสุดปี 2568 คาด GDP GROWTH เฉลี่ย 2.9%) โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน ราว60-70% ของ GDP ถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 

ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด หากโดนขึ้นภาษีนำเข้า
ตั้งแต่มีกระแสความกังวลการขึ้น TAX TARIFF ของ TRUMP ในวันที่ 2 เม.ย.68 ว่าจะมีสินค้าอะไรและประเทศใดบ้างที่ ติดรายชื่อ ทำให้นักลงทุนมีความไม่แน่นอนในการลงทุนสูง จึงกดดันให้มูลค่าการซื้อขายของ SET เบาบางลงในช่วง สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย (24 MAR –1 APR) อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยมูลค่าการ ซื้อขายตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท

 

ซึ่งล่าสุดมีกระแสข่าวจาก THE WASHINGTON POST รายงานว่า ฝ่ายบริหารของ TRUMP กำลังพิจารณาเก็บ ภาษีนำเข้าราว 20% ของสินค้าส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เม.ย.68 โดยฝ่ายวิจัยฯจึงประเมินคร่าวๆว่าจะกระทบ ต่อบริษัทจดทะเบียนอย่างไรบ้าง ซึ่ง SET มีรายได้รวม ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 18.7 ล้านล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหุ้นที่เพิ่งพิง การส่งออกราว 3.6 ล้านล้านบาท(คิดเป็นสัดส่วนราว 19%) ซึ่งประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกไปสหรัฐฯราว 18.3% ดังนั้นสามารถประเมินได้ว่ารายได้ SET INDEX พึงพิงการส่งออกไปสหรัฐราว 3.5% (6.5 แสนล้านบาท) และหากมี การขึ้นภาษีนำเข้า 20% ดังกระแสข่าวดังกล่าว จะทำให้มีสัดส่วนที่โดนผลกระทบราว 1.3 แสนล้านบาท หรือ 0.7% เท่านั้น

 

สรุปความกังวลการขึ้น TAX TARIFF ของ TRUMP ในวันที่ 2 เม.ย.68 ที่กำลังจะพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าราว 20% ของสินค้าส่วนใหญ่ ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าหากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากรายได้ SET INDEX พึงพิงการส่งออกไปสหรัฐราว 3.5% (6.5 แสนล้านบาท)

 

ตลาดผันผวน แต่พลังงานแฝงอาจหนุนให้ DOWNSIDE ของ SET จำกัด
นักลงทุนรอผลสรุปการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ช่วงเวลาตี 2 คืนนี้ ทำให้ช่วง 1 –2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิด RISK OFF มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเหลือ 2.7 หมื่นกว่าล้านบาทต่อวัน ลดลงจากระดับปกติราว 35% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นประเทศ อื่นๆ และตลาดหุ้นไทยตอบรับประเด็นนี้มาเยอะในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากตลอด 5 เดือนที่ TRUMP ได้รับเลือก เป็น ปธนใ สหรัฐ คนที่ 47 (5 พ.ย. 67 –1 เม.ย. 68) SET -20%

 

การเฝ้ารอเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนในช่วงนี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็เชื่อว่า DOWNSIDE ตลาดหุ้น ไทยจำกัด หลังเห็นแรงเก็งกำไรสั้นจากต่างชาติที่แอบทยอยซื้อสุทธิสะสมสัญญา SET50 FUTURES กว่า 8.5 หมื่น สัญญา และมีการซื้อสุทธิ CALL OPTION มากกว่า PUT OPTION 5.8 พันสัญญา ในช่วงตั้งแต่ 13 มี.ค. 68 – ปัจจุบัน

 

สรุป ตลอด 5 เดือน ตลาดหุ้นไทย -20% ตอบรับประเด็นการขึ้นภาษีจากทรัมป์มาระดับหนึ่งแล้ว แต่หากการขึ้นภาษี จาก TRUMP ไม่ได้รุนแรงอะไรก็มีโอกาสเห็นการรีบาวน์กลับขึ้นมา จากพลังสะสมแฝงที่ต่างชาติทยอยซื้อสะสมสุทธิ สัญญา SET50 FUTURES กับ CALL OPTION มาระดับหนึ่ง

 

ครม.มีมติลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ส่งผลต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่างไร
ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบลดค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2568 ลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย จากเดิม 4.15 บาท/หน่วย เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐฯในการอุดหนุน โดยมติดังกล่าว ถือ เป็นการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราที่ต่ำกว่า ค่าไฟที่ กกพ. ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2568 ที่เคยกำหนดให้ค่า FT เดือน ส.ค.-พ.ค. 2568 อยู่ที่ 36.72 สตางค์/หน่วย (โดยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 บาท/หน่วย จะส่งผลให้ค่า ไฟอยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย) โดยหากเป็นไปตามประกาศของ ครม. ค่า FT ใหม่ คาดจะถูกปรับลดลงมาเหลือ 20.67 สตางค์/หน่วย

 

ปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้า ว่าจะมาจากส่วนไหน จึงยังถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามการ ที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการต่อไป แต่ในมุมมองของฝ่ายวิจัย เบื้องต้น คาดจะมาจากการลดเงินในการชำระการคืนหนี้ ให้แก่ กฟผ.จากเดิมที่เคยคิดเป็นค่า FT ที่ 20.33 สตางค์/หน่วย ในงวด พ.ค. – ส.ค. 2568 ลงมาอยู่เพียง 4.28 สตางค์/หน่วย

 

อีกทั้ง ที่ประชุมยังมีมติ

–1 หาแนวทางแก้ไขปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ADDER/FIT และเงื่อนไขที่กำหนดให้สัญญาไม่มีวันสิ้นสุด

–2 หาแนวทางปรับปรุงค่า AP และ EP รวมถึงเงื่อนไขอื่น ๆ ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ทุกสัญญา เพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมต่อรัฐ หรือลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม

–3 หาแนวทางการแก้ไขข้อตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำให้ระบบควบคุมการจ่ายไฟฟ้า (SO) ไม่สามารถบริหาร จัดการการสั่งผลิตไฟฟ้าให้มีต้นทุนต่ำลงได้

 

โดยมีกรอบระยะเวลาให้ กฟผ. และ กกพ. ดำเนินการตามประเด็นต่อไปนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับจากวันที่ ครม. มีมตินอกจากนั้ ยังให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาและเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างระบบ POOL GAS เพื่อลดราคาก๊าซฯที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ให้ทันต่อการประกาศราคาค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2568

 

ประเด็นดังกล่าว ถือเป็นมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่ม ทั้งผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP อาทิ BGRIM (FV@22B), GPSC (FV@45B), ที่คาดจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 2Q68 ปรับตัวลดลง QOQ จากมุมมอง เดิมที่เคยคาดว่าจะยังสามารถอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงเดิมได้ รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่มีโครงสร้างค่า ไฟฟ้าในบางโครงการอิงกับค่า FT ส่งผลให้ราคาขายไฟฟ้าในงวด 2Q68 ปรับตัวลดลง QOQ อีกทั้งยังมีความเสี่ยง จากประเด็นการทบทวนสัญญาในรูปแบบ ADDER/FIT เช่นเดี่ยวกับกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจาก การหาแนวทางปรับปรุงค่า AP ช่วงสั้นคาดราคาหุ้นในกลุ่มฯจะปรับตัวลดลงจากประเด็นข่าวดังกล่าว

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์