"Oil & ICT Play"
KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1169/1175จุด รับ 1148/1140จุด ประเด็นสำคัญวันนี้ 1.) ราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย +2% สูงสุดใน 5 สัปดาห์ หลังคุณ Trump ขู่จะเก็บภาษี 25%-50% กับผู้ซื้อน้ำมันกับรัสเซีย หลังการยุติสงครามกับยูเครนไม่มีข้อสรุป รวมถึงการขู่โจมตีอิหร่าน คาดบวกต่อกลุ่มน้ำมันหนุน SET ระยะสั้น ก่อนติดตามรายงานเศรษฐกิจ PMI ผลิต (ISM) และการประชุม Opec+ 3 เม.ย.นี้ 2.) ตลาดยังรอความชัดเจนนโยบายการค้า ในส่วนภาษีเท่าเทียมที่น่าจะเป็นนโยบายกีดกันการคัาชุดท้ายๆแล้ว 3.) สัญญาณเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวทั้งภาคผลิตและบริการ หนุนเอเชีย 4.) ภายในติดตามมาตรการฟื้นฟู+กระตุ้นเศรษฐกิจหลังแผ่นดินไหว สัญญาณบวกหลัก คือ BOT จะนำผลกระทบเข้ามาการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดเริ่มเก็งภาพลดดอกเบี้ย เงินไหลเข้าตลาดพันธบัตร ถ่วง TH Bond Yield 10 ปีเช้านี้ไหลลงสู่ 1.96% ทำให้ SET ปัจจุบันมีค่า Current Equity Risk Premium สูงถึง 4.9% +/- ใกล้ระดับ AVG + 2 S.D. ที่ 5.0% สูงกว่าระดับนี้ คือ จุดที่ตลาดเผชิญวิกฤติรุนแรง กลยุทธ์กลาง-ยาวเน้นสะสม 10 หุ้น Deep Value ในกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็น+ได้ประโยชน์แผ่นดินไหว ระยะสั้นให้น้ำหนักกลุ่มน้ำมัน ผสาน กลุ่มสื่อสาร (คาด Hearing ประมูลคลื่นเป็นบวก) วันนี้แนะนำ PTT, PTTEP, TRUE
Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1169/1175 จุด รับ 1148/1140 จุด
What happened around the world?
(*/+)US Stocks :ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกปรับขึ้น มองฟื้นตัวจากปลายสัปดาห์ก่อนที่ลงแรง และหุ้นเทคสหรัฐยังถูกกดดันจาก ตลาดรอรายละเอียดภาษีเท่าเทียม Reciprocal tariff วันที่ 2 เม.ย. และรอความเห็ยของประธาน Fed Powell อิง Dow jones +1.00%d-d, ดัชนี Nasdaq -0.14%d-d, S&P500 +0.55% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้น ทุกกลุ่มมีเพียง Consumer discretionary โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่นหลักๆคือ Consumer staples, Financials, Energy, Materialฯลฯ หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตยาปรับลงแรงเมื่อคืน Moderna - 8.9% ฯลฯ หลังจากมีรายงานว่า ปีเตอร์ มาร์กส์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านวัคซีนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ได้ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง ส่วนกลุ่ม Tech NVIDIA -1.2%, Amazon -1.3% Tesla -1.66%
(*) China : 1. จีนรายงาน PMI มี.ค. ดีกว่าคาดคือ ฝั่งภาคผลิต 50.5 จุด สูงกว่าคาด 50.4 จุด และเร่งขึ้นจากเดือนก่อน 50.2 จุด และภาคบริการ 50.8 จุด ดีกว่าคาดที่ 50.6 จุด และเร่งจากเดือนก่อน 50.4 จุด โดยทั้งภาคผลิตและภาคบริการตัวเลขเร่งขึ้นจากเดือนก่อน และเหนือ 50.0 จุด บ่งชี้ภาพเศรษฐกิจขยายตัว 2. กระทรวงการคลังจีนเตรียมอัดฉีดเงิน 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าธนาคารรัฐขนาดใหญ่ 4 แห่ง ผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในประเทศ โดยหวังเสริมแกร่งเงินกองทุนและขยายสินเชื่อเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจริง โดยรวมทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นในกลุ่ม China play เน้น SCGP SCC IVL PTTGC
(*) Fed Monitor : ตลาดให้น้ำหนักวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. เวลา 22.25 น.ตามเวลาไทย การกล่าวสุนทรพจน์ของ ประธาน Fed Powell ในการประชุมประจำปีของ Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) ที่ รัฐเวอร์จิเนีย โดยเรื่องหลักคือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยหลัก คือ ตลาดจับสัญญาณความเห็นทิศทางเศรษฐกิจถดถอย หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ผ่านมาชะลอตัว อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ เงินเฟ้อสูง ฯลฯ และให้น้ำหนักการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย โดยปัจจุบันตลาดคาดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หากออกมาในโทนผ่อนคลาย มองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(*) To Monitors : ฝั่งสหรัฐ 1 เม.ย PMI ผลิต (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 49.8 จุด prev. 50.3 3 เม.ย. PMI ภาคบริการ (ISM) มี.ค. ตลาดคาด 53.2 จุด prev. 53.5 จุด 4 เม.ย. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร มี.ค. คาด 1.35 แสนราย prev. 1.51 แสนราย อัตราการว่างงานมี.ค. ทรงตัวที่ 4.1% ค่าจ้างรายชั่วโมง คาด 0.3%m-m, 3.9%y-y ฝั่งจีน 1 เม.ย. Caixin PMI ภาคผลิต คาดทรงตัว 50.8 จุด, 3 เม.ย. Caixin PMI ภาคบริการคาด 51.5 จุด prev. 51.4 2 เม.ย. การประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ ,สินค้าเกษตร, ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี แนวโน้ใหลักยังเป็นขาลง ล่าสุดแกว่งตัวอยู่ที่ 3.88% เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี -1 bps 4.12% หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบีเยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง CPAXT CPALL ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าเล็กน้อยลงมาที่ 103.8 จุด
(+)Oil : ราคาน้ำมันดิบพลิกปรับขึ้นแรง อิง น้ำมันดิบ Brent +1.95% ปิดที่ USD 74.77/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.06% ปิดที่ USD 71.48/barrel แรงหนุนระยะสั้นมาจาความกังวลว่าอุปทานจะลดลงหากว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำตามคำขู่รีดภาษีรัสเซียและเป็นไปได้ว่าจะโจมตีอิหร่าน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT
What happened in Thailand?
(*/-) SET: SET Index ปรับลง -17.4 จุด (-1.48%) ปิดที่ระดับ 1158. จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.0 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเซียที่ปรับลงในทางเดียวกัน โดยวันนี้มีประเด็นกดดันหลัก คือ ผลกระทบกรณีแผ่นดินไหว 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาร์ นำมาสู่การถล่มลงอาคาร สตง. ที่กำลังสร้างและความเสียหายอาคารสูงใน กทม. และความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation / ถดถอย เพิ่มขึ้น หลังเงินเฟ้อ Core PCE ก.พ. 25 +0.4%m-m สูงกว่าคาด ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. 24 (U of Michigan) ต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 22 ฯ อย่างไรก็ตามมีสัญญาณบวกจากฝั่งตลาดพันธบัตร ต่างชาติซื้อสุทธิ และเงินบาทแข็งค่าจากช่วงเช้า ผสานผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลง หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีหลักๆคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง HMPRO ในฐานะที่เป็นหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากการซ่อมแซ่มหลังแผ่นดินไหว กลุ่มที่ปรับลงและกดดัชนีคือ หลักๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ORI AP SPALI เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงกระทบโดยตรง จากความเชื่อมั่นการอยู่อาศัยในคอนโดที่ชะลอระยะสั้น กลุ่มพลังงาน PTT PTTEP กดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น -66.8 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +153ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ 24,910 สัญญา เงินบาททรงตัว 33.95+/- บาท
(*/+) Government Measure & Sign of Fundflows: หลังจากเกิดเหตุการณ์ผลกระทบแผ่นดินไหว เริ่มเห็นหลายหน่วยงานรัฐฯส่งสัญญาณออกมาตรการฟื้นฟู+กระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดย 1.) กระทรวงการคลัง เปิดทางให้หน่วยงานรัฐฯที่มีทรัพย์สินเสียหายสามารถดำเนินการจัดจ้างเพื่อซ่อมแซ่มโดยตรงได้ทันที 2.) สถาบันการเงินรัฐฯและเอกชนทยอยออกมาตรการพักชำระหนี้ และฝั่งรัฐฯกำลังพิจารณาให้เงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษ คาดว่าจะมีสรุปความช่วยเหลือภายใน 1 สัปดาห์ 3.) BOT จะนำผลกระทบเหตุการณ์แผ่นดินไหวเข้าพิจารณาในการประชุม กนง. 30 เม.ย. นี้ พร้อมติดตามผลกระทบภาคท่องเที่ยวและอสังหาฯ
ทั้งนี้ อิงสัญญาณตลาดพันธบัตรล่าสุด วานนี้ต่างชาติเร่งซื้อพันธบิตรไทย 5.2+ พันล้านบาท ตามด้วยเช้านี้อีก +2.2 พันล้านบาท ทำให้ TH Bond Yield 10 ปีปรับตัวลงสู่ 1.96% หนุน Current Equity Risk Premium สูงถึง 4.9% +/- ใกล้ระดับ AVG + 2 S.D. ที่ 5.0% ซึ่งมักเป็นจุดที่ตลาดเผชิญวิกฤติรุนแรง และเป็นโอกาสลงทุนกลาง-ยาว กลยุทธ์ เน้นหุ้น 10 Deep Value โดยเฉพาะกลุ่มจำหน่ายสินค้าและบริการจำเป็น / ได้ประโยชน์สถานการณ์แผ่นดินไหว อาทิ CPALL, HMPRO, GPSC, SCGP, KBANK, BBL ผสาน SCC และกลุ่มสื่อสาร ADVANC TRUE
(*/+) Entertainment Complex: ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ว่า วิปรัฐบาลจะพิจารณาเรื่องนี้โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง เพื่อทำความเข้าใจกับวิปรัฐบาลก่อน และหลังจากนั้นประมาณวันที่ 3 เม.ย. จะขอสภาฯบรรจุในระเบียบวาระวันที่ 9 เม.ย. โดยกระทรวงการคลังคาดกฎหมายจะแล้วเสร็จใน 1ปี และเริ่มลงทุนได้ภายใน 3 ปีประเมินกรอบเวลาที่มีความคืบหน้าเร็วดังกล่าว เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI, BA, STECON, MBK, BJC ธนาคาร BBL, KBANK, SCB หุ้นท่องเที่ยว MINT, ERW
(*/+) Telcos: วันนี้ติดตามความคิดเห็นสาธารณะ หรือ ประชาพิจารณ์ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 MHz 1500 MHz 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz และ 26 GHz ประเมินแนวโน้มเป็นบวกต่อกลุ่มสื่อสารทั้ง ADVANC, TRUE จากทั้งราคาคลื่นที่มีโอกาสลดลง (Supply คลื่นมากกว่า Deamnd) และกำหนดการประมูลที่ไม่เปลี่ยนมีนัยฯ (เลื่อนไม่เกิน 2 สัปดาห์)
(*/+) FDI : นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาในพิธีเปิด "ศูนย์บริการนักลงทุนและบุคลากรต่างชาติ (Thailand Investment and Expat Services Center: TIESC) โดย TIESC เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมการจัดหางาน โดยนำบริการของทั้ง 3 หน่วยงานแบบครบวงจรมาไว้ ณ จุดเดียว ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมการให้บริการของศูนย์ประสานงานด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center: OSOS) และศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Stop Service For Visa And Work Permits) ณ ชั้น 6-7 อาคาร One Bangkok ประเมินเป็นบวกต่อการดึงเม็ดเงินลงทุน ท่องเที่ยวจากต่างชาติ หนุนจิตวิทยาหุ้นนิคม WHA, AMATA และการต่อยอด S Curve ใหม่ๆ จากการดึงผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย
(*/+) Government Measures: แบงก์ชาติ-ก.ล.ต.-ตลท.ผนึกทุกฝ่ายร่วมแถลงยืนยันทุกระบบเข้าสู่ปกติหลังเหตุแผ่นดินไหวเมียนมา 28 มี.ค. ผลการแถลงร่วม แบงก์ชาติ-ก.ล.ต.-ตลท. ถือว่าสอดคล้องกับที่ KSS นำเสนอในช่วงก่อนหน้า มองเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อ SET Index
(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ติดตาม
1 เม.ย. การเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ หรือ ประชาพิจารณ์ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 MHz 1500 MHz 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz และ 26 GHz
1 เม.ย. ประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำสัปดาห์
2 เม.ย. ติดตามการประกาศใช้ภาษีเท่าเทียมของคุณ Trump คาดอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง (ไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯเก็บไทย) อาทิ ยานยนต์+ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าเกษตร ชิ้นส่วนฯ ซึ่งระยะสั้นกรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันก่อนที่จะมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
3 เม.ย. GULF (หลังควบรวม INTUCH) กลับมาซื้อขายในตลาดวันแรก คาดหุ้นที่หายไปจากดัชนี SET50/100 จากการควบรวมดังกล่าว 1 บริษัท หุ้นที่จะเข้ามาแทน SET50/100 คือ VGI และ THCOM ตามลำดับ
4 เม.ย. เงินเฟ้อ CPI มี.ค. 25 ไม่มีคาด vs prev. +1.08%y-y , เงินเฟ้อพื้นฐาน CPI ไม่มีคาด vs prev. +0.99%y-y
Daily Strategy : PTT, PTTEP, TRUE
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "Rebound" ฝั่งต่างประเทศยังต้องรอนโยบายภาษีเท่าเทียมสหรัฐฯ ส่วนภายในการปรับตัวของ SET จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว บวกกับ กระแสเก็งรัฐฯน่าจะมีการออกนโยบายฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเงินและการคลัง ถ่วง Bond Yield ไทยไหลลงต่อเนื่อง ทำให้ SET มี Equity Risk Premium ระดับใกล้ AVG + 2 S.D. น่าจะหนุน SET วันนี้รีบาวด์ โดยมีหุ้นเด่นรายวันใน 1.) กลุ่มพลังงาน ราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย +2% สูงสุดใน 5 สัปดาห์ จากความกังวลซัพพลาย ผสาน ภาพเศรษฐกิจจีนเป็นบวก 2.) กลุ่มสื่อสาร วันนี้ติดตามการรับฟังความเห็นสาธารณะต่อเงื่อนไขประมูลคลื่น โดยรวมประเมินสร้าง Upside ผสาน กำไรระยะสั้น 1Q25F คาดเด่นทั้ง ADVANC และ TRUE
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)
• 2Q25F Stock Picks : BDMS, CPALL, MINT, KBANK, MTC, AP, ADVANC Mid-Small Cap Play : BCH, BTS, JMT, ERW, AMATA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
Strategy Update: Myanmar Earthquake Impact
วันศุกร์ที่ 31 มี.ค. 25 เวลา 13.20น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่ประเทศเมียนมาร์ สร้างความเสียหายรุนแรงในเมียนมาร์ และเกิดแรงสั่นสะเทือนมาที่ประเทศไทยแบบไม่คาดคิด ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวในเขตเศรษฐกิจ กทม ครั้งที่รุนแรงที่สุด ส่งผลอาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม และความเสียหายบางส่วนต่ออาคารสูง ในเขต กทม.
เราประเมินผลกระทบต่อ SET จำกัด เนื่องจากผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและหุ้นในตลาดค่อนข้างจำกัด โดยกลุ่มอสังหาฯระยะสั้น จะมีความกังวลต่อโครงการแนวดิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีดส่วนยอดขายสินค้าดังกล่าวสูง อิงปี 2024 ANAN LPN ORI สัดส่วน 84%, 82% และ 76% ของยอดโอนรวมปี 2024 และในส่วนที่มีความเสียหายออกสื่อมากกว่าบริษัทอื่นๆ AP และ ORI แต่สัดส่วนอสังหาฯในไทย คิดเป็นเพียง 2.5% ของ GDP ปี 2024 ขณะที่กลุ่มประกันมูลค่าความเสียหายราว 2.2-2.5 พันล้านบาท คิดเป็น Market EPS เพียง -0.05 บาทต่อหุ้น โดยยังไม่รวมถึงผลกระทบจำกัดขึ้นหากมีการประกันภัยต่อ ส่วนหุ้นที่มีธุรกิจในเมียนมาร์ เป็นหุ้นขนาดกลางเครื่องดื่ม และอาหารเป็นส่วนใหญ่ (MEGA 30%, OSP 10% CBG 7% และ ICHI 7%ของยอดขาย) และสุดท้ายกลุ่มท่องเที่ยว บริษัทส่วนใหญ่ แจ้งว่ายังไม่มีการยกเลิก Booking แบบมีนัยฯ และโรงแรมยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดภาพ SET ผันผวนระยะสั้นก่อนฟื้นตัวได้เร็วเหมือนในเหตุการณ์ภัยพิบัติในอดีต
กลยุทธ์หลัก สำหรับนักลงทุนระยะสั้น-กลาง เน้นหุ้นกลุ่มที่เม็ดเงินมีโอกาสสลับเข้าลงทุนระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ Deep Value ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นฟูโครงสร้างและที่อยู่อาศัยฯ คือ SCC, HMPRO, GLOBAL และกลุ่ม Deep Value หมวดสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT, BJC รวมถึงกลุ่มที่อุตสาหกรรมเป็น Upcycle อาทิ ADVANC, TRUE
ส่วนการเก็งกำไรเน้นไปที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็ก-กลาง SCGD, DCC กลุ่มเสาเข็ม PYLON และเก็งกำไรกลุ่มที่ปรึกษางานอาคาร/โครงสร้าง STI, TEAMG, PPS
Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance
การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้
SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)
SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)
กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI
Strategy Update : ThaiESG Plays
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด
เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI
Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง
1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"
2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก
3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก
4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ
เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว
Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO
• ADVANC (TP25F-311): We reiterate a Buy call and Bt311 TP for ADVANC. We like ADVANC on entering into the new round of earnings growth cycle driven by ARPU uplift from easing competition. Net profit should be strong in 1Q25, rising 10% yoy and 1% qoq driven by higher revenues and good cost control. We maintain our earnings growth estimate at 6.6% in FY25F even though 1Q25 earnings are likely to comprise of 25% of our full-year estimate. ADVANC also presents decent yield at 4.1% in FY25F. ADVANC is on our Buy list with a higher TP ofto Bt300 (from Bt280) afterfrom moving valuation rollover period to end-2025. As the As a dividend play, the counter stock, ADVANC will continue to benefit from the interest rate downcycle. The rRecent correction in the share price has pushedallows up 2024F dividend yield in 2024 to stand at 3.8%, with upside risk tofrom earnings as Q4 is peak season for ADVANC upgrade. And, 3Q24 earnings are alsowould be expected to be relatively strong, rising, up 12% yoy but mildly down slipping 2% qoq due to seasonal factors. We see some upside risk as we are entering into high seasonality in 4Q24. Despite the upgrade, ADVANC offers 18% earnings growth this year and another 6% next year.
• ICT (Bullish): We remain bullish on the sector as earnings and FCF will continue to rise. We maintain that sector earnings would grow by 10% yoy in 2025F. The second draft on the auction looks slightly messy, in our view, offering in many options for the hearing. We believe the reason of doing this for NBTC to mitigate the pressure from the public regarding oligopoly bidding. At the end, we reiterate our view that he spectra to be auctioned in the next couple of months will be earnings-accretive to ADVANC and TRUE due to little competition. We reiterate our Buy ratings for both ADVANC and TRUE (Top pick, TP Bt15).
• Energy & Petrochemical (Bullish): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +1-3% w-w แนวโน้ม U.S. คว่ำบาตรพลังงานเวเนซูเอล่า ส่งให้ตลาดกังวล supply ตึงตัว และสงครามฯกลับมารุนแรง คาดราคาน้ำมันดิบ เม.ย. 25 ฟื้นตัว m-m ได้ปัจจัยบวก demand น้ำมันจีนและ EU ฟื้น และ U.S. คว่ำบาตรน้ำมันเวเนซูเอล่า
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -5% w-w ฉุดจาก HSFO spread ลดลงมาก ซึ่งเรามองไม่ได้น่ากังวลจากโรงกลั่นไทยมี yield ดังกล่าวต่ำ คาดค่าการกลั่น เม.ย. 25 ฟื้น m-m ได้ปัจจัยหนุน demand น้ำมันจีน และ EU ฟื้น ประกอบกับ supply ตึงตัวขึ้นจากเข้าสู่ช่วงปิดซ่อมโรงกลั่นในตะวันออกกลาง
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ spread ลด w-w ฉุดจากราคา feedstock ทั้งนี้ราคา PET ปรับเพิ่มตาม feedstock ได้จาก demand ฟื้นตัว i) สายโอเลฟินส์ HDPE/PP spread -1-6% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ PX +1% w-w supply ยังตึงตัว /BZ -9% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -1% w-w ความต้องการใช้เริ่มฟื้นตัวตามฤดูกาล คาดเดือน เม.ย. 25 สาย PET เด่น ฟื้น m-m ได้ความต้องการใช้ในช่วง high season หนุน
ภาพสัปดาห์ มีเพียงต้นน้ำที่มีแรงหนุน ส่วน PET เริ่มเห็นการปรับเพิ่มของราคา จาก supply ที่ตึงตัวขึ้น จาก demand re-stock คงมุมมองแนวโน้มดังกล่าวจะเร่งขึ้นในช่วง เม.ย. 25 ทั้งนี้เรายังชอบกลุ่มโรงกลั่นที่ไม่ได้เผชิญ oversupply จากกำลังการผลิตใหม่เท่ากลุ่มปิโตรเคมี และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว y-y รวมถึงราคาสะท้อนปัจจัยลบค่าการกลั่นผันผวน 1Q25TD ไปแล้ว คง top pick เป็น SPRC (TP8.0)
• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพารา เพิ่มขึ้น +0.4%w-w จากความกังวลด้านอุปทานในช่วงปิดกรีด ส่วนราคาน้ำตาล ลดลง -3.2%w-w จากคาดการณ์ว่าฝนจะตกในบราซิลช่วยบรรเทาภัยแล้ง น้ำมันปาล์มดิบ ลดลง -1.8%w-w จากความต้องการลดลง ขณะที่น้ำมันพืชทางเลือกมีราคาถูก ราคาถั่วเหลือง ลดลง -0.2%w-w จากการเก็บเกี่ยวในฤดูกาลใหม่ ขณะที่ความต้องการทรงตัว
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ ทรงตัว w-w อยู่ที่ 40.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) ราคาสุกรไทย เพิ่มขึ้น +2.4%w-w ที่ 85.10 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) จากอุปทานลดลง ผลจากนโยบายการลดปริมาณแม่สุกรและการตัดวงจรลูกหมูในช่วงกลางปี24 ราคาสุกรจีน ลดลง -0.1%w-w ที่ 14.67 หยวน หรือ 68.49 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15 หยวน) จากความต้องการในการเติมสต๊อกลดลง ราคาสุกรเวียดนาม ลดลง -5.3%w-w ที่ 71,167 ดอง หรือ 94.41 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) จากความพยายามจัดการกับโรคระบาด เพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนปศุสัตว์ คาดอุปทานค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น
เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงเลือก CPF (TP25F 27.40) เป็น Top pick ราคาเนื้อสัตว์มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะราคาหมูไทยและเวียดนามอยู่ในระดับสูง ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ
2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility
Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE
Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI